READING

CHAPTER 01: ภารกิจโอมเบบี้จงมา...

CHAPTER 01: ภารกิจโอมเบบี้จงมา

“ลองปล่อยดูก็ได้นะ”

ดั่งถ้อยคำจากสวรรค์จากเอกชัยผู้เป็นสามี ที่อยู่ดีๆ ก็ใจอ่อนเลิกหวงตัว ยอมอนุมัติให้เหล่าลูกสมุนแก๊งอสุจิได้เข้ามาสัมผัสท่อนำไข่ของเมียสักที หลังจากที่แต่งงานกันมาใกล้จะสามปี และผ่านการคุมกำเนิดกันมาแล้วทุกกระบวนท่าเท่าที่คุณครูสุขศึกษาจะเคยสอน

 

เราสองคนก็เป็นอีกคู่รักวัยรุ่น (เอิ่ม ลดอายุไปหน่อยรึเปล่า) ที่ยังสองจิตสองใจกับการมีลูก คือเป็นพวกที่ไม่ได้ฟันธงว่าแต่งงานแล้วฉันจะมีลูกตอนอายุเท่านั้นเท่านี้ หรือว่าจะไม่มีลูกเด็ดขาด เรียกว่าใช้อารมณ์ช่วงนั้นขับเคลื่อนมากกว่า

 

สิ่งที่เราสองคนกังวลก็คงเหมือนกับคู่รักหลายคู่ คือความไม่พร้อม ทั้งเรื่องเงิน เรื่องเวลา และชีวิตอิสระที่คงจะหายไปทันที ถ้ามีลูกมาอยู่ด้วยอีกคน พอคิดอย่างนั้นก็เลยขอผัดกันไปก่อนเสียทุกที พอจะคิดเรื่องลูกขึ้นมาทีไร ก็เอาเวลาไปเช็กค่าเงินเยนว่าลงมาเท่าไหร่แล้ว จะได้แพลนทริปเที่ยวญี่ปุ่นอีกสักที ก็เป็นซะอย่างนี้แหละ

 

จนในช่วงรอบปีที่ผ่านมา ไม่รู้ว่าทางรัฐบาลมีนโยบายปล่อยอโรม่าเร่งการสืบพันธุ์มาในอากาศหรือเปล่า เพราะอยู่ดีๆ คนใกล้ตัวเราก็ทยอยตั้งท้องและคลอดลูกกันแบบรัวๆ เป็นปีที่แทบทุกอาทิตย์จะต้องมีเพื่อนสักคนเช็กอินที่ห้องคลอดของสักโรงพยาบาล รูปเด็กอ่อนนี่เต็มหน้าฟีดไปหมด แต่พอมาวิเคราะห์ด้วยหลักการและเหตุผลดูก็พบว่า ส่วนใหญ่คนที่มีลูกในปีนี้ มันก็คนรุ่นราวคราวเดียวกับเรา ที่อายุเข้าใกล้วัยสามสิบ เรียนจบปริญญามาหมดแล้วทั้งตรีและโท หน้าที่การงานมั่นคงประมาณหนึ่ง เป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่ออีกช่วงของชีวิต พอไปดูงานวิจัยก็มีบอกไว้ว่าถ้ามีลูกในช่วงอายุประมาณสามสิบนั้น ลูกจะเกิดมาฉลาด และถ้าปล่อยให้อายุมากไปกว่านี้ ความเสี่ยงจากการตั้งครรภ์ก็จะมากขึ้น โอกาสตั้งครรภ์สำเร็จก็น้อยลง ช่วงนี้เลยเป็นนาทีทองของชีวิตที่น่าจะเหมาะกับการคิดทำการใหญ่ สร้างอีกหมุดหมายสำคัญของครอบครัวเราสองคน นั่นคือการมีลูกกันเถอะ!

 

วันหนึ่ง เราและเอกชัยนั่งรถไปกับเพื่อนรุ่นราวคราวเดียวกันที่กำลังเดินหน้าผลิตลูกกันแบบเต็มสูบ เลยลองถามเพื่อนว่า ถ้ามีลูกแล้วจะเลี้ยงยังไง ลาออกจากงานมาเลี้ยงเลยหรือเปล่า เพราะเรามองว่าเพื่อนก็มีฐานะไม่ได้ลำบากอะไร มันคงอยากจะลาออกแล้วมาเป็นคุณแม่เต็มเวลา แต่เปล่าเลย สิ่งที่เพื่อนเราวางแผนไว้นั้นเรียบง่ายมาก คือลาคลอดสามเดือนเท่าที่กฎหมายแรงงานอนุญาต จากนั้นก็จะเอาลูกไปฝากไว้ที่เนิร์สเซอรี่ใกล้ที่ทำงาน ตัวเองก็ทำงานตามปกติ พอเลิกงานก็ไปรับกลับบ้าน

 

สิ่งที่ได้ยินจากเพื่อนวันนั้นเปลี่ยนความคิดเราไปมาก เพราะก่อนหน้านี้เราคิดถึงแต่ด้านที่สมบูรณ์แบบของการเลี้ยงลูก คือคงตามอินสตาแกรมดาราและเซเลบมากไปหน่อย จนกังวลว่าถ้าเราไม่ได้อยู่บ้านเลี้ยงลูกเต็มตัว มีพี่เลี้ยงคอยช่วยอีกสักคน มีของเล่นและเครื่องใช้เด็กแบรนด์ดังเตรียมไว้ให้ลูก คงทำให้ชีวิตเราและลูกไม่สมบูรณ์ แต่พอเห็นคนที่น่าจะลาออกจากงานมาเลี้ยงลูกเองได้สบายๆ (พูดง่ายๆ คนรวยคนหนึ่ง) กลับวางแผนการมีลูกเอาไว้เรียบง่ายแบบนั้น เราจึงลองปรับแผนดูใหม่

 

พอหาข้อมูลดูแล้วก็พบว่า แถวออฟฟิศก็มีเนิร์สเซอรี่มาตรฐานดีไว้ใจได้ คอนโดฯ ห้องไม่ใหญ่ของเราก็น่าจะพอปรับปรุงเล็กน้อยให้เหมาะสำหรับการเติบโตของเด็กทารกได้ แล้วพอโตพอหรือเริ่มจะวิ่งได้ค่อยขยับขยายไปอยู่บ้านที่มีพื้นที่มากขึ้นกันอีกที มองดูเงินเดือน เงินเก็บของเราสองคนที่มีอยู่ก็น่าจะพอไหวถ้าต่อไปจะมีอีกชีวิตมาช่วยใช้เงิน

 

พอได้คิด วิเคราะห์ แยกแยะ กับตัวเองอย่างดีแล้ว สบโอกาสก็เลยลองเปรยๆ กับเอกชัยถึงแผนการการมีบุตรเวอร์ชั่นสมบูรณ์ (ใน) แบบ (ของเรา) สามีก็ทำนิ่งๆ เหมือนทุกที แต่ก็พอจะจับได้ว่าคราวนี้เริ่มมีแววตาที่บอกว่าโอเค

 

และที่ช่วยยืนยันความโอเคของพ่อคุณเขาได้เป็นอย่างดีก็คือ วันหนึ่ง เราพูดลอยๆ ติดตลกขึ้นมาหลังจากเห็นคลิปเด็กน่ารักว่า “อยากมีลูกเนอะ” แล้วสามีก็ยิ้มอ่อน ก่อนจะบอกว่า “ลองปล่อยดูก็ได้นะ”

 

ตรงนั้นแหละค่ะ ที่เป็นจุดเริ่มต้นของภารกิจโอมเบบี้จงคัมของเราสองคน

(ทำไมชื่อภารกิจถึงได้ห่วยแบบนี้วะ!)

 

ครั้งหน้าจะว่าด้วยการสำรวจสภาวะร่างกาย และการตรวจสุขภาพเตรียมพร้อมมีบุตร


Nidnok

‘นิดนก’ เป็นคุณแม่ของน้อง ณนญ / เป็นนักเขียนสาวเชิงรุก เจ้าของผลงานหนังสือ 'POWER BRIDE เจ้าสาวที่กลัวสวย' และ 'TO BE CONTINUE- โปรดติดตามตอนแต่งไป'

RELATED POST