ชวนหลายๆ คนที่ยังติดลมอยู่ในยุคอยุธยา พาลูกมาย้อนยุคด้วย 4 การละเล่นที่ได้รับความนิยม ซึ่งบอกเลยว่าการละเล่นพื้นบ้านของเราไม่ไก่กา นอกจากจะสร้างความสนุกแล้ว ยังได้สกิลอีกเพียบ
1. ว่าว
การละเล่นพื้นบ้านที่มีความยาวนานมาตั้งแต่สมัยสุโขทัย และในสมัยอยุธยาก็ได้รับความนิยมอย่างสุดๆ ซึ่งการเล่นว่าวมีทั้งเล่นเอาสนุกและแข่งขันกันอย่างเอาจริงเอาจัง ที่ต้องใช้กลยุทธ์ทำให้ว่าวของอีกฝ่ายหล่นลงมากับพื้น
วิธีเล่น:
ว่าวเป็นกีฬาที่เล่นคนเดียว แต่ตอนจะปล่อยว่าวขึ้นสู่ฟ้า เราต้องมีคนช่วยปล่อย เริ่มจากให้คนส่งว่าวไปยืนโต้ลมห่างจากผู้ชักสายว่าวประมาณ 4-5 เมตร ตั้งหัวว่าวขึ้น พอลมมาก็ส่งว่าวขึ้นไป ส่วนผู้ชักว่าวจะกระตุกและผ่อนสายว่าว จนว่าวขึ้นสูงเรียกว่า ‘ติดลมบน’ ถึงเริ่มบังคับให้ส่ายไปมาหรือจะพยายามชักให้ตัวว่าวอยู่นิ่งๆ ก็แล้วแต่เลย ความสนุกก็คือการบังคับให้ว่าวลอยอยู่บนท้องฟ้านี่แหละ
สิ่งที่เด็กๆ จะได้จากการเล่นว่าว:
การสังเกต สิ่งที่เด็กๆ จะได้แน่นอนก็คือเขาจะสังเกตเป็นว่าลมมาจากทางไหน และเขาควรบังคับทิศทางของว่าวอย่างไร ในขณะเดียวกันสายตาก็ต้องเหลือบมองพื้นขณะวิ่งไปด้วย ไม่อย่างนั้นจะหกล้มได้
ได้ใช้กล้ามเนื้อมือและข้อมือ ในการบังคับว่าวด้วยการชักสายว่าว ซึ่งแน่นอนว่าตอนแรกมันจะต้องเป็นการลองผิดลองถูก ว่าอยากให้ว่าวไปทางไหนกว่าจะสามารถบังคับว่าวได้ เด็กๆ ก็จะได้ฝึกใช้กล้ามเนื้อมือให้คล่องแคล่วและแข็งแรง
อยากทำให้ดีขึ้น แน่นอนว่าว่าวไม่ได้บังคับกันง่ายๆ และมันคงไม่อยู่บนฟ้าไปตลอด ขึ้นอยู่กับลมและการบังคับของเรา มันเลยสอนให้เราอย่ายอมแพ้และเริ่มใหม่ในทุกครั้งที่ว่าวหล่นพื้น
2. มอญซ่อนผ้า
“มอญซ่อนผ้าตุ๊กตาอยู่ข้างหลัง…” ขึ้นต้นเพลง คุณพ่อคุณแม่ก็น่าจะต่อว่า “ไปนู่นมานี่ ฉันจะตีก้นเธอ” ได้แทบทุกคน เพราะเป็นการละเล่นยอดฮิตที่เราต้องเคยเล่นตอนเด็กๆ
วิธีเล่น:
- ตกลงให้ผู้เล่นหนึ่งคนถือผ้าเช็ดหน้าที่เตรียมไว้แล้วออกไปยืนข้างนอก ที่เหลือนั่งกันเป็นวงกลม หันหน้าเข้าหากัน เอามือทั้งสองพาดไว้ที่ตัก คุยกันหรือร้องเพลงก็ได้ อย่าแอบมองไปข้างหลัง
- คนที่ถือผ้าเดินหรือวิ่งไปรอบวงต้องทำท่าทำเป็นวางผ้าแต่ไม่วาง เพื่อหลอกล่อผู้ที่นั่งในวงให้เผลอตัว เมื่อเห็นโอกาสแล้วแอบหย่อนผ้าลงไว้ ข้างหลังผู้ที่นั่งในวงคนใดคนหนึ่ง เมื่อวางผ้าแล้วเดินหรือวิ่งให้เร็ว
- คนที่มีผ้าอยู่ข้างหลัง ต้องรีบฉวยผ้าวิ่งตามเอาผ้าตีและวิ่งกลับมานั่งที่ของตัวเอง ถ้าถูกชิงที่นั่งไปแล้วก็ต้องเริ่มหาโอกาสวางผ้าไว้ข้างหลังคนในวงต่อไป
สิ่งที่เด็กๆ จะได้จากการเล่นมอญซ่อนผ้า:
การสังเกต จะบอกว่าความนุกและหัวใจของการละเล่นนี้ต้องใช้ความรู้สึกก็ไม่ผิดนัก เพราะต้องคอยจับสังเกตว่าผ้าได้ถูกวางไว้ข้างหลังเราหรือเปล่า คนที่ไม่มีสติในเกมก็จะต้องแพ้ไป
3. หัวล้านชนกัน
แม้จะไม่หัวล้าน แต่เราก็สามารถเล่นหัวล้านชนกันได้ โดยที่การละเล่นนี้ปรากฏอยู่ในวรรณคดีอีกด้วย
วิธีเล่น:
- ก่อนอื่นต้องกำหนดขอบเขตของพื้นที่สำหรับแข่งก่อน ผู้แข่งทั้งสองฝ่ายจะต้องนั่งลงโดยที่มือ เข่า และเท้าต้องแนบพื้นตลอดเวลา
- ใช้หัวชนกันแล้วพยายามใช้กำลังของตัวเองดันอีกฝ่ายให้หลุดออกไปนอกเขตที่กำหนดไว้ ใครสามารถดันอีกฝ่ายให้ออกนอกเขตได้ถือเป็นผู้ชนะ และขณะเล่น ห้ามผู้เล่นใช้อวัยวะส่วนอื่นนอกจากหัวดันคู่ต่อสู้
สิ่งที่เด็กๆ จะได้จากการเล่นหัวล้านชนกัน:
กล้ามเนื้อมัดใหญ่ การเล่นหัวล้านชนกันใช้กล้ามเนื้อทั้งร่างกายเพราะต้องใช้แรงทั้งหมดในการยึดติดกับพื้นและพยายามทำให้คู่ต่อสู้หลุดออกนอกเขตให้ได้
อดทน ชื่อก็บอกอยู่แล้วว่า ‘หัวล้านชนกัน’ เราเลยต้องอดทนแม้ว่าหัวและร่างกายจะเจ็บและปวดเมื่อย สอนให้เด็กๆ รู้จักความอดทน เพื่อชัยชนะนั่นเอง
4. ลิงชิงหลัก
ถ้าบอกว่าเล่นลิงชิงหลัก เราอาจจะไม่ค่อยคุ้นหูการละเล่นนี้นัก แต่มันคล้ายการละเล่นที่เราทุกคนต้องเคยเล่นแน่นอน คือเก้าอี้ดนตรี จะแตกต่างตรงไหนมาดูกัน
วิธีเล่น:
ใช้เสา (สมัยอยุธยาใช้เสาเรือน) เป็นหลัก โดยที่หลักมีจำนวนน้อยกว่าคนเล่นหนึ่งหลัก ผู้เล่นทั้งหลายที่มีหลักจะสมมติว่าตัวเองเป็นลิง วิ่งเปลี่ยนหลักจากหลักโน้นไปหลักนี้ ลิงที่ไม่มีหลักต้องคอยชิงหลักให้ได้ ถ้าชิงหลักของใครได้ คนนั้นต้องเป็นลิงคอยชิงหลักต่อไป
สิ่งที่เด็กๆ จะได้จากการเล่นลิงชิงหลัก:
กล้ามเนื้อมัดใหญ่ การวิ่งชิงหลักไปมาทำให้กล้ามเนื้อมัดใหญ่อย่างแขน ขา และลำตัวได้เคลื่อนไหว ช่วยให้แข็งแรง
การสังเกต ความว่องไว การเป็นลิงจะทำให้เด็กๆ ต้องคอยสังเกตเพื่อนทำให้มีไหวพริบและว่องไว เพื่อที่จะหลบหลีกเพื่อนได้
นี่แค่ส่วนหนึ่งของการละเล่นไทย ที่ไม่ได้ให้แต่ความสนุก แต่ยังให้สกิลต่างๆ ไม่ว่าจะกล้ามเนื้อต่างๆ ไหวพริบ ความอดทน และการละเล่นทุกอย่างที่จะได้เหมือนกันนั่นคือเรื่องการเคารพกฎกติกา รู้แพ้รู้ชนะ แล้วยังได้ทักษะสังคม เรียกได้ว่า ให้ลูกเล่นการละเล่นไทยได้อะไรแน่นอน
NO COMMENT