การกินโยเกิร์ตก่อนอาหารประเภททอด จะช่วยป้องกันโรคที่เกิดจากอาหารที่มีไขมันสูง และผู้เชี่ยวชาญเชื่อว่าการกินโยเกิร์ตไขมันต่ำหนึ่งกระปุกต่อวัน สามารถช่วยบรรเทาความทุกข์ทรมานจากโรคข้ออักเสบ และรักษาโรคหอบหืดได้
โยเกิร์ตจึงช่วยบรรเทาอาการอักเสบเรื้อรังในร่างกาย ซึ่งเชื่อมโยงกับความเจ็บป่วยในระยะยาวของมนุษย์ ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่า อาหารเช้าโดยทั่วไปไม่อาจรักษาความเจ็บปวดจากโรคได้ ดังนั้น คนจึงต้องพึ่งยาแก้ปวด เช่น แอสไพรินและนาพรอกเซน ซึ่งมักมาพร้อมกับผลข้างเคียงที่น่ารังเกียจ
แต่กุญแจสำคัญคือนักวิทยาศาสตร์ในสหรัฐอเมริกาค้นพบว่า โยเกิร์ตสามารถยับยั้งอาการอักเสบเรื้อรังที่เกิดขึ้นในร่างกายมนุษย์ได้จริง
กระบวนการนี้เชื่อมโยงกับโรคข้ออักเสบ โรคหอบหืด โรคลำไส้อักเสบ รวมไปถึงโรคอ้วน และกลุ่มโรคความผิดปกติ ที่เป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด จนถึงโรคเรื้อรังอื่นๆ
ในงานวิจัย อาสาสมัครจะได้รับโยเกิร์ตไขมันต่ำจำนวน 8 ออนซ์ ก่อนรับประทานอาหารเช้าที่ประกอบไปด้วย มัฟฟินไส้กรอก 2 ชิ้น และแฮชบราวน์ 2 ชิ้น ที่รวมแล้วได้ปริมาณพลังงาน 900 แคลอรี ซึ่งพบว่าผู้ที่รับประทานโยเกิร์ตก่อนอาหาร จะมีระดับการอักเสบในกระแสเลือดน้อยกว่าผู้ที่ไม่ได้รับประทานโยเกิร์ต
ดร.รุยซอง เป—นักวิทยาศาสตร์การอาหารจากมหาวิทยาลัยวิสคอนซิน-แมดิสัน กล่าวว่า “การรับประทานโยเกิร์ตที่มีไขมันต่ำประมาณ 8 ออนซ์ก่อนรับประทานอาหาร เป็นกลยุทธ์ในการเพิ่มความสามารถในการเผาผลาญอาหารในร่างกาย และอาจช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือด”
ผลการวิจัยใหม่ที่ตีพิมพ์ในวารสาร Journal of Nutrition แสดงหลักฐานใหม่ว่าโยเกิร์ตช่วยชะลอการอักเสบในร่างกาย และอาจเป็นทางเลือกที่ปลอดภัย และเป็นที่ยอมรับในระยะยาว ว่ามีผลระงับอาการปวดเรื้อรังของผู้ป่วยได้ใกล้เคียงยาบางชนิด เช่น แอสไพริน นาพรอกเซน และไฮโดรคอร์ทิโซน
นักวิทยาศาสตร์ได้สำรวจศักยภาพของผลิตภัณฑ์นมในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา โดยมีผลลัพธ์ที่หลากหลาย ซึ่งดร.แบรด โบลลิง—ผู้ช่วยศาสตราจารย์ด้านวิทยาศาสตร์การอาหารจากมหาวิทยาลัยวิสคอนซิน-แมดิสัน กล่าวว่า โยเกิร์ตช่วยเพิ่มแบคทีเรียที่ดีในลำไส้ ที่ทำให้โมเลกุลที่เรียกว่า Endotoxin ของการอักเสบ ไม่สามารถส่งผ่านเข้าสู่กระแสเลือดได้
“ผลงานวิจัยมากมายในช่วงหลายปีที่ผ่าน จนถึงบทความล่าสุดชี้ให้เห็นว่า นมหมักสามารถต้านการอักเสบในร่างกายมนุษย์ได้” ดร.แบรด อ้างถึงผลวิจัยถึง 52 ชิ้นในปีที่ผ่านมา
ทีมของดร.แบรด โฟกัสไปที่ผู้หญิงก่อนวัยหมดประจำเดือน จำนวน 120 คน โดยที่ครึ่งหนึ่งมีน้ำหนักเกินมาตรฐาน และอีกครึ่งหนึ่งมีน้ำหนักไม่เกินเกณฑ์มาตรฐาน ซึ่งควบคุมการทดลองโดยครึ่งหนึ่งของอาสาสมัครรับประทานโยเกิร์ตไขมันต่ำ 12 ออนซ์ ทุกวันเป็นเวลา 9 สัปดาห์ และอีกครึ่งหนึ่งกินพุดดิ้งที่ไม่ใช่นมเป็นเวลา 9 สัปดาห์
ซึ่งโดยปกติแล้ว การตรวจเลือดเป็นประจำต้องใช้เวลามากกว่า 3 ปี จึงสามารถเชื่อมโยงระดับการอักเสบในเลือดได้ แต่จากผลการทดลองนี้ แสดงให้เห็นว่าเมื่อเวลาผ่านไปเพียง 9 สัปดาห์ ผู้บริโภคโยเกิร์ตกลับมีสัญญาณการพัฒนาระบบเลือดที่ดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
ดร.โบลลิงกล่าวว่า “ผลการทดลองแสดงให้เห็นว่า การบริโภคโยเกิร์ตอย่างต่อเนื่อง อาจส่งผลต่อการต้านการอักเสบโดยทั่วไป”
นอกจากนี้ ทีมวิจัยยังท้าทายผลการทดลองจากอาสาสมัคร ด้วยการออกแบบการทดลอง ให้อาสาสมัครกินอาหารแคลอรีสูงในตอนต้นและตอนท้ายของ 9 สัปดาห์นี้ เพื่อสร้างความกดดันให้ระบบเผาผลาญอาหาร และทดสอบว่าโยเกิร์ตช่วยป้องกันโรคอ้วนได้หรือไม่
ซึ่งทีมงานของดร.โบลลิงพบว่า บรรดาผู้ที่กินโยเกิร์ต มีค่าชี้วัดการอักเสบเป็นไปในทางที่ดีขึ้น ขณะที่พวกเขาย่อยอาหารเช้าเหล่านั้น โดยโยเกิร์ตช่วยปรับระดับน้ำตาลในเลือดให้ดีขึ้นหลังอาหารมื้อใหญ่
ด้วยความหวังนี้ ดร.โบลลิงกล่าวว่า พวกเขาต้องทำการวิจัยเพิ่มเติม เพื่อระบุว่าสารอาหารใดในโยเกิร์ตมีผลต้านการอักเสบ
“เป้าหมายของการวิจัยคือ เพื่อระบุว่ามันคือสารประกอบใด และหาหลักฐานที่ชัดเจนว่ามันมีกลไกการทำงานอย่างไร เพื่อให้เห็นว่าสารประกอบอะไรในอาหารที่สามารถยับยั้งการอักเสบ ด้วยวิธีเพียงแค่กินเข้าไปในร่างกายมนุษย์ ซึ่งมันสำคัญต่อวงการแพทย์มาก และเรากำลังเข้าใกล้ผลลัพธ์มากขึ้นเรื่อยๆ แล้ว”
NO COMMENT