READING

New Senior School การพัฒนาที่ไม่หยุดนิ่งของ Shrews...

New Senior School การพัฒนาที่ไม่หยุดนิ่งของ Shrewsbury Riverside: สำรวจความเจ๋งของตึกเรียนใหม่ และเคล็ดลับว่าทำไมนักเรียนของที่นี่จึงได้รับการตอบรับจากมหาวิทยาลัยชั้นนำทั่วโลก

M.O.M มีโอกาสพูดคุยกับผู้บริหาร และคุณครูของโรงเรียนนานาชาติโชรส์เบอรี กรุงเทพ ริเวอร์ไซด์ มาแล้วหลายครั้ง แต่ละครั้งก็จะอยู่ในขอบเขตเรื่องของเด็กปฐมวัยไปถึงชั้นประถมที่เราคุ้นเคย จึงเหมือนเรากำลังค่อยๆ หยิบจิ๊กซอว์มาเรียงต่อกัน เป็นภาพเส้นทางการเติบโตของเด็กคนหนึ่งในรั้วของโรงเรียนแห่งนี้

เมื่อเข้าใจจุดเริ่มต้นและมองเห็นจุดสานต่อ เพื่อให้ภาพความเข้าใจชัดเจนและครบถ้วน เราจึงหยิบเอาจิ๊กซอว์ชิ้นสุดท้ายมาวางให้ครบ นั่นคือโลกการเรียนรู้ในระดับชั้นสูงสุดของโรงเรียน ‘Senior School’ หรือการเรียนในชั้นมัธยมปลายที่เราเข้าใจ แต่ที่พิเศษไปกว่านั้น เราจะมาทำความรู้จักการเรียนการสอนของ Senior School ผ่านแนวคิดในการออกแบบอาคาร New Senior School and Sports Performance Complex หลังใหม่

เพื่อตอบคำถามนั้น เราจึงไปพูดคุยกับสองผู้บริหารแห่ง Shrewsbury Riverside คนแรกคือคุณ Chris Seal อดีตคุณครูวิชาพละและประวัติศาสตร์ ผู้จบการศึกษาด้านภาษาอังกฤษ พลศึกษา และวิทยาศาสตร์จาก มหาวิทยาลัย Loughborough ซึ่งเป็นหนึ่งในมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในด้านการกีฬาและวิทยาศาสตร์ ของประเทศอังกฤษ นอกจากนั้นยังเป็นอดีตนักกีฬาคริกเก็ตที่เคยเล่นในลีกอาชีพ ควบกับการเป็นนักอ่านหนังสือสายประวัติศาสตร์ และการเมืองตัวยง

คุณคริสเป็นครูใหญ่โรงเรียนแห่งนี้มา 5 ปี และในปี 2022 ที่จะถึงนี้ เขาจะส่งไม้ต่อให้กับคุณ Rob Millar อดีตบัณฑิตจากมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ และมหาบัณฑิตด้านประสาทวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด ที่ยังคงหลงใหลในวิทยาศาสตร์มาจนถึงทุกวันนี้

โรงเรียนมีความพร้อมทั้งในแง่คน อาคารสถานที่และสิ่งอำนวยความสะดวกอยู่แล้ว แต่ทำไมถึงยังต้องขยายพื้นที่เพื่อสร้าง New Senior School and Sports Performance Complex 

คริส: โปรเจ็กต์นี้เริ่มต้นขึ้นเมื่อประมาณปี 2016-2017 จุดมุ่งหมายคือเพื่อรองรับการเพิ่มมากขึ้นของจำนวนนักเรียน และรองรับนักเรียนจาก City Campus ที่จะเข้ามาเรียนระดับ Senior School ที่นี่ และขยายศักยภาพในการมอบประสบการณ์การเรียนรู้ที่ดีที่สุดให้กับนักเรียน

สิ่งที่เพิ่มขึ้นมาในอาคารหลังใหม่ คือห้องอาหารที่สามารถรองรับได้ 700 ที่นั่ง มาพร้อมระบบปรับอากาศ, ห้องแล็บวิทยาศาสตร์สำหรับการเรียนฟิสิกส์ เคมี ชีววิทยา รวม 18 ห้อง, ห้องแล็บคณิตศาสตร์ 16 ห้อง, ห้องแล็บคอมพิวเตอร์ 4 ห้อง,​ห้องแล็บหุ่นยนต์ และห้องแล็บสำหรับการสร้างทดลองสร้างนวัตกรรม (Innovation Lab) นอกจากนี้ยังมี Sixth Form Center ชั้นบนสุดของอาคาร ที่ออกแบบมาให้สามารถรองรับนักเรียนได้มากกว่า 400 คน มีพื้นที่และสิ่งอำนวยความสะดวกในการเรียน ทำโปรเจ็กต์​ประชุมปรึกษาและทำงานร่วมกันของนักเรียน

แต่ละห้องเรียนจะมีพื้นที่อย่างน้อยห้องละ 18 ตารางเมตร ซึ่งนับว่ากว้างขวางมาก ห้องแล็บวิทยาศาสตร์มีพื้นที่ห้องละ 120 ตารางเมตร ซึ่งในแต่ละห้องจะมีไวท์บอร์ด จอทีวี และพื้นที่สำหรับสาธิตและทำการทดลอง และยังมีวิวภายนอกเป็นแม่น้ำเจ้าพระยาที่สวยงาม

เรายังได้เพิ่มอาคารศูนย์กีฬาภายในร่มที่ครบถ้วนทั้งสนามบาสเก็ตบอล ศูนย์ฝึกความแข็งแรงและเพิ่มสมรรถภาพทางร่างกาย โยคะ และห้องปั่นจักรยาน เพื่อให้นักเรียนทุกระดับชั้นของเราได้มีพื้นที่ในการออกกำลังกายอีกด้วย

เรามองว่านี่คือการพัฒนาก้าวใหญ่ของเรา เป็นการยกระดับครั้งสำคัญ เพราะสิ่งอำนวยความสะดวกและเทคโนโลยีต่างๆ ที่เรานำเข้ามาล้วนมีความพิเศษ ซึ่ง พื้นที่ทั้งหมดนี้จะเปิดโอกาสให้เด็กเรียนรู้ได้มากขึ้น

ดูเหมือนว่า STEM (Science, Technology, Engineering Mathematics) & Innovation จะได้รับความสนใจ จนทำให้โรงเรียนขยายพื้นที่และให้ความสำคัญกับศาสตร์ด้านนี้มาก

ร็อบ: STEM เปรียบเสมือนพื้นฐานในการเรียนรู้สรรค์สร้างนวัตกรรมใหม่ๆ โดยการนำวิชา วิทยาศาสตร์, เทคโนโลยี, วิศวกรรมศาสตร์ และคณิตศาสตร์ มาผูกเข้าด้วยกัน บวกกับเรามีนักเรียนที่มีความสนใจด้านนี้เป็นจำนวนมาก

ทุกปีนักเรียนมากกว่าร้อยละ 90 เลือกที่จะเรียนวิทยาศาสตร์ และคณิตศาสตร์ในระดับ A Level  จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมเราถึงต้องมีห้องแล็บวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์หลายห้อง รวมไปถึงจำนวนนักเรียนที่สนใจในวิชาวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์และการสร้างหุ่นยนต์ที่เพิ่มมากขึ้น ทำให้เราเห็นโอกาสที่จะเพิ่มพื้นที่เหล่านี้ให้เด็กนักเรียนของเรา

ห้องแล็บวิทยาศาสตร์สมัยเรียนมหาวิทยาลัยของผมนั้นมีความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีมาก จึงเป็นความตั้งใจอย่างยิ่งที่จะทำให้ห้องแล็บที่นี่มอบความรู้สึกนั้นให้กับนักเรียน เหมือนที่ผมเคยได้รับมา ตั้งแต่การออกแบบเฟอร์นิเจอร์ในห้องแล็บโดย S+B Lab ซึ่งเป็นบริษัทชั้นนำระดับโลกในด้านการออกแบบเฟอร์นิเจอร์สำหรับห้องแล็บ แม้แต่โต๊ะ เราก็เลือกวัสดุที่เหมาะกับการเป็นโต๊ะแล็บที่ดีที่สุด เราได้ออกแบบรูปทรงของโต๊ะให้สอดคล้องกับการที่นักเรียนจะสามารถนั่งทำงานร่วมกันได้ อีกทั้งยังเข้าถึงอุปกรณ์แล็บต่างๆ ได้สะดวก พื้นผิวของโต๊ะเราเลือกใช้วัสดุที่ไม่เกิดเป็นรอยได้ง่าย ทนทานต่อสารเคมีที่ใช้ในการทดลอง อีกทั้งอุปกรณ์และสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ล้วนเป็นระดับเวิลด์คลาส

เรามีทั้งเทคโนโลยีและพื้นที่ที่ทำให้การเรียนรู้สามารถเป็นไปในรูปแบบไหนก็ได้ เปิดกว้างให้ทั้งกับครูผู้สอนและนักเรียนได้ออกแบบการทดลองเพื่อตอบสนองความสนใจของพวกเขาได้อย่างไร้ข้อจำกัด

เกี่ยวกับการขยายพื้นที่สร้างศูนย์กีฬาแห่งใหม่เพื่อรองรับไลฟ์สไตล์รักสุขภาพของนักเรียน

คริส: เดิมโรงเรียนเรามีสนามกีฬาที่ได้มาตรฐานจำนวนมากอยู่แล้ว ทั้งสนามฟุตบอลขนาดใหญ่ สนามบาสเก็ตบอล สนามเทนนิส แต่เมื่อพิจารณาจากการขยายตัวของจำนวนนักเรียน รวมถึงมีนักเรียนที่สนใจในการเล่นกีฬาเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก เราจึงต้องมีพื้นที่ที่ใหญ่กว่าเดิม และดีกว่าเดิม

ภายในอาคารเราได้มีการออกแบบใหม่ สนามบาสเก็ตบอลเราเลือกที่จะปูด้วยพื้นไม้ สนามเน็ตบอล ซึ่งเป็นกีฬาที่เราเพิ่งจะเพิ่มเข้ามา ออกแบบให้สามารถนั่งรับชมการแข่งขันได้ทั้งสองฝั่ง และในอนาคตเราวางแผนที่จะร่วมมือกับทีมเน็ตบอลทีมชาติไทย ในการใช้เป็นสนามแข่งขัน และแลกเปลี่ยนความรู้ เราใช้พื้นที่ 340 ตารางเมตรในชั้นล่างของอาคารมาใช้เป็นโซนสำหรับฝึกความแข็งแรงและเพิ่มสมรรถภาพทางด้านร่างกายระดับโลก โดยมีต้นแบบมาจาก ‘Powerbase’ ของ มหาวิทยาลัย Loughborough ซึ่งเป็นที่ที่ฝึกซ้อมของนักกีฬาแนวหน้าของอังกฤษ นอกจากนี้ยังมีห้องปั่นจักรยานที่เพียบพร้อมไปด้วยอุปกรณ์ และห้องโยคะ ซึ่งเป็นวิชาเลือกที่มีนักเรียนให้ความสนใจเป็นจำนวนมาก

การเล่นกีฬานั้นนอกจากจะเพื่อความเป็นเลิศ หรือเพื่อร่างกายที่แข็งแรงแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่เราให้ความสำคัญ คือทักษะการรับรู้ทางร่างกาย (Physical Literacy) เพราะในการที่จะสามารถทำสิ่งต่างๆ ให้สำเร็จได้ ร่างกายเป็นปัจจัยที่สำคัญ เด็กจึงควรเข้าใจว่าร่างกายของตนเองทำงานได้อย่างไร แต่ละส่วนมีความสัมพันธ์กันอย่างไร รับรู้ถึงขีดจำกัดด้านร่างกาย ในโปรแกรมวิชาพละที่ดี จึงต้องให้เด็กเข้าใจเรื่องพละกำลัง การทรงตัว ความยืดหยุ่น ความว่องไว อันเป็นพื้นฐานสำหรับการเล่นกีฬาทุกชนิด

แผนการในอนาคตของเรา จะเป็นการนำพื้นที่ 300 ตารางเมตร สร้างให้เป็นแหล่งเรียนรู้ Physical Literacy สำหรับเด็กปฐมวัย เพื่อปูพื้นฐานด้านความสามารถทางกายของเด็กเล็กให้พร้อม

ผลงานของนักเรียนที่จบจาก Senior School ของโชรส์เบอรี ริเวอร์ไซด์นั้นน่าภาคภูมิใจทุกปี เช่น ในปีล่าสุดที่เด็กๆ สามารถเข้าเรียนที่มหาวิทยาลัย Oxbridge ได้ถึง 5 คน และมหาวิทยาลัย Ivy League 2 คน คิดว่าอะไรคือเบื้องหลังความสำเร็จเหล่านี้                      

ร็อบ: หลักสูตรการเรียนการสอนของเราเน้นที่ตัวเด็กเป็นหลัก เราเปิดกว้างให้เด็กได้สำรวจและได้ตัดสินใจด้วยตัวเอง ตั้งแต่การเรียนชั้นเด็กเล็กเรื่อยมาจนพวกเขาเรียนในระดับชั้นที่สูงขึ้น ตอนยังเล็ก พวกเขาเรียนรู้ผ่านการเล่น ที่จริงๆ แล้วมันคือการฝึกให้เด็กได้คิดแก้ไขปัญหาอย่างสร้างสรรค์ เมื่อโตขึ้นเราก็ยังคงแนวคิดที่ปล่อยให้เขาสำรวจ ค้นคว้า และทำการทดลองด้วยตนเอง โดยมีคุณครูที่มากประสบการณ์คอยเป็นโค้ชอยู่เคียงข้าง

คริส: เรามีความเข้าใจในธรรมชาติและพัฒนาการของเด็ก เรารู้อยู่แล้วว่าเด็กนั้นเต็มเปี่ยมไปด้วยจิตนาการและความคิดสร้างสรรค์ เด็กมีความอยากรู้อยากเห็นในสิ่งที่ตนเองสนใจ เด็ก 4-5 ขวบจึงชอบที่จะตั้งคำถามโดยเฉพาะคำว่า ‘ทำไม’ เพราะฉะนั้นในชั้นเรียนก่อนปฐมวัย จนถึงเกรด 6 สิ่งที่เราทำก็คือปล่อยให้เด็กได้เรียนรู้และทำการค้นหาในสิ่งที่ตนสนใจและสงสัย เราปล่อยให้เด็กได้ใช้ความคิดสร้างสรรค์ เราจะนำสิ่งที่เด็กสนใจมาค่อยๆ ผสมผสานกับวิชาการและท้าทายเด็ก และเด็กๆ ก็ชอบความท้าทายเป็นอย่างมาก เพราะความท้าทายทำให้เด็กสนุกและเรียนรู้ได้ดีขึ้น ซึ่งนี่ก็เป็นสิ่งที่เราทำในเด็กโตเช่นกัน

เมื่อก้าวขึ้นมาถึงระดับ Senior School ในอายุ 14 ปี นักเรียนสามารถออกแบบการเรียนรู้ของตนเองได้ว่ามีความสนใจในด้านไหน และเลือกลงเรียนในวิชาที่ตนเองสนใจ พออายุ 16 ปี เข้าสู่ระดับ A level เด็กจะได้เลือกวิชาศึกษาพิเศษเพิ่มเติมอีก 3-4 วิชา

นอกเหนือจากความเข้มข้นและความท้าทายในการเรียนแล้ว เราก็ยังมีคลับ มีกิจกรรมต่างๆ ที่เปิดให้เด็กได้แสดงความคิดเห็น เช่น คลับการเมือง มีกิจกรรมเพื่อชุมชนที่อยู่ห่างไกล ให้เด็กได้เรียนรู้จักการช่วยเหลือผู้อื่น มีการจัดกิจกรรมการกุศล

โรงเรียนของเราให้ความสำคัญกับความสนใจของนักเรียนในรายบุคคลเป็นอย่างมาก เด็กทุกคนจะมีสิทธิ์ออกแบบและเลือกการเรียนของตนเอง เพราะว่าเมื่อเด็กโตขึ้น ความสนใจของเขาก็จะยิ่งชัดเจนขึ้น เราจึงอยากให้เด็กได้ทดลองอะไรหลายๆ อย่าง เพื่อที่เราจะได้มองเห็นว่าเด็กแต่ละคนต้องการอะไรและเป้าหมายของเขาคืออะไร

คริส: ผมคิดว่าความสำเร็จของเราคือการที่ได้เห็น เด็กๆ ที่โชรส์เบอรีมีความสุขและความสนุกกับการเรียน สนุกกับการทำงานร่วมกัน สนุกกับการได้ทำกิจกรรมต่างๆ ภายในโรงเรียน ไม่ว่าจะเป็นดนตรี หรือกีฬา ประกอบกับที่โชรส์เบอรี เรามีบุคลากรที่เต็มเปี่ยมไปด้วยประสบการณ์และใจรักด้านการสอน เรามีสิ่งอำนวยความสะดวก อุปกรณ์การเรียนการสอนครบครัน เรามีระบบช่วยเหลือสนับสนุนซึ่งกันและกัน ทั้งหมดนี้รวมกันกลายเป็นวัฒนธรรมของโชรส์เบอรี ซึ่งบางครั้งมันค่อนข้างอธิบายได้ยากว่าวัฒนธรรมของโรงเรียนคืออะไร แต่ที่โชรส์เบอรีเราเรียกมันว่าวัฒนธรรมแห่งการเรียนรู้ จะเห็นได้ว่าเด็กๆ ที่นี่มีความรักที่จะเรียน และเด็กๆ ก็ทำได้ดีมากด้วย

ร็อบ: พวกเราทำงานกันหนักมาก เพื่อที่จะสนับสนุนให้นักเรียนของเราไปสู่เป้าหมายที่พวกเขาตั้งใจไว้ ในแต่ละปี เราจะเดินทางไปเยี่ยมนักเรียนของเราตามมหาวิทยาลัยชั้นนำในประเทศอังกฤษและอเมริกา และได้เห็นพวกเขาเติบโตและพัฒนาได้ดีกับชีวิตมหาวิทยาลัย นั้นทำให้เราภูมิใจและหายเหนื่อย เรามีศิษย์เก่าที่ประสบความสำเร็จมากมายในหลายอาชีพ ไม่ว่าจะเป็น เชฟ เจ้าของธุรกิจ บางคนทำงานใน NGO แต่สิ่งที่สำคัญคือ การที่เราได้เห็นว่าพวกเขามีความหลงใหลในสิ่งที่ทำ ได้เห็นถึงสิ่งที่เราพัฒนาร่วมกันตอนที่เขายังเป็นนักเรียน และเขานำมันไปต่อยอดใช้ในการเรียนต่อมหาวิทยาลัย จนถึงการทำงาน และนั่นก็คือความสำเร็จของพวกเราในฐานะโรงเรียน


Nidnok

‘นิดนก’ เป็นคุณแม่ของน้อง ณนญ / เป็นนักเขียนสาวเชิงรุก เจ้าของผลงานหนังสือ 'POWER BRIDE เจ้าสาวที่กลัวสวย' และ 'TO BE CONTINUE- โปรดติดตามตอนแต่งไป'

COMMENTS ARE OFF THIS POST