ข้างนอกมันน่ากลัว

จากผู้เขียน: 

เป็นเรื่องปกติที่พ่อแม่จะเป็นห่วง กลัวลูกของตัวเองจะได้รับสิ่งที่ไม่ดี จึงต้องการปกป้องลูกอยู่ตลอดเวลา ไม่มีพ่อแม่คนไหนที่ไม่ห่วงลูก แต่บางทีพ่อแม่ก็ลืมไปว่า แม้แต่ ‘ความเป็นห่วง’ ก็ควรต้องมี ‘ความพอดี’

ดิฉันคิดว่า ความเป็นห่วงที่แสดงออกผ่านการบังคับ การห้าม การสร้างกฎกติกาต่างๆ อาจจะเป็นผลดีในช่วงวัยหนึ่งเท่านั้น แต่เมื่อลูกเติบโตขึ้น การแสดงออกในรูปแบบนั้นมากเกินไป ก็อาจส่งผลเสียได้ ดิฉันจึงตั้งใจเขียนนิทานเรื่องนี้เพื่อสื่อสารกับพ่อแม่ที่กำลังใช้ความเป็นห่วงสะกัดกั้นโอกาสที่ลูกจะได้เติบโต

outsidescary_1

เด็กหญิงและแม่อาศัยอยู่ในบ้านที่มีระบบรักษาความสะอาดและความปลอดภัยเป็นเลิศ สำหรับแม่ ไม่มีที่ใดในโลกจะปลอดภัยไปมากกว่าบ้านหลังนี้อีกแล้ว แม่จึงไม่เคยยอมให้เด็กหญิงออกจากบ้านเลย เด็กหญิงทำได้เพียงนั่งมองออกไปนอกหน้าต่าง แม้จะไม่สามารถมองเห็นอะไร เพราะฟิล์มกันแสงที่แม่ติดไว้บนหน้าต่างทุกบาน

outsidescary_2

แม่พร่ำบอกเด็กหญิงเสมอว่าโลกข้างนอกนั้นน่ากลัว อันตราย อากาศเป็นพิษ มีโรคร้ายกระจายอยู่ทั่ว เพียงสูดหายใจแค่ครั้งเดียวก็อาจทำให้เธอป่วยหนัก และตายได้

ไหนจะมีผู้คนใจคอโหดเหี้ยม และทำตัวพิลึกอีก เด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ อย่างเธอ ไม่สามารถสู้สิ่งโหดร้ายข้างนอกนั้นได้หรอก แต่ถึงอย่างนั้นเด็กหญิงก็ยังอยากออกไปข้างนอก สองแม่ลูกจึงเริ่มไม่เข้าใจกัน หลังจากถกเถียง และทะเลาะกันหลายครั้ง ในที่สุดทั้งคู่จึงตกลงกันว่า เด็กหญิงสามารถออกไปนอกบ้านได้ แต่ต้องสวมเครื่องป้องกันที่แม่จัดหามาให้เท่านั้น

outsidescary_3

“นี่จ้ะ หน้ากากอันใหม่ ที่แม่เพิ่งสั่งมา รุ่นนี้ดีกว่ารุ่นก่อนอีกนะ ป้องกันอากาศจากภายนอกได้ 100 % เลย” แม่สวมหน้ากากที่จะปล่อยอากาศบริสุทธิ์ออกมาตลอดเวลาให้กับเด็กหญิง

“แต่แม่คะ หน้ากากอันนี้มันใหญ่กว่าเดิมแล้วก็หนักกว่าเดิมด้วย” เด็กหญิงโอดครวญ

“ลูกก็ต้องอดทน แม่บอกแล้วว่าข้างนอกสภาพอากาศแย่แค่ไหน มันไม่ได้มีเครื่องกรองอากาศเหมือนในบ้านเรา หรือว่าลูกจะเปลี่ยนใจอยู่บ้านเราเหมือนเดิมก็ได้นะ”

เด็กหญิงส่ายหน้า “ไม่ค่ะ หนูโตพอจะออกไปข้างนอกได้แล้ว หนูอดทนได้”

outsidescary_4

แต่หน้ากากเป็นเพียงจุดเริ่มต้น แม่ยังสั่งเครื่องป้องกันมาเพิ่มมากมาย ไม่ว่าจะเป็นเสื้อเกราะ ปลอกสวมกันระแทกบริเวณแขน ขา เข่า และข้อศอก ไหนจะชุดบอดี้สูทอย่างดีเพื่อปกป้องผิวหนังของเธอ รวมถึงถุงมือกับรองเท้าที่ทั้งใหญ่ทั้งหนา

“หมดหรือยังคะแม่ หนูจะขยับไม่ได้อยู่แล้ว” เด็กหญิงถาม

“หมดแล้วจ้ะ ทีนี้ก็จำไว้ให้ดีนะว่า…”

“ห้ามแตะต้องอะไร ทั้งคน สัตว์ สิ่งของ เพราะอาจจะมีสารพิษ หรืออาจจะเข้ามาจู่โจมได้ ห้ามพูดคุยกับใครเพราะอาจจะโดนหลอก ถ้ามีอะไรทำท่าจะเข้ามาใกล้ให้หนีกลับบ้านทันที ต้องกลับบ้านก่อนมืด และระวังอย่าให้เครื่องป้องกันเสียหายเป็นอันขาด หนูจำได้ขึ้นใจแล้วค่ะ”

“ดีมากจ้ะ เอาล่ะก่อนออกไปแม่จะสวดมนต์ให้คุณพระคุณเจ้าคุ้มครองลูกจากสิ่งชั่วร้ายนะจ๊ะ” แล้วแม่ก็เริ่มสวดภาวนา

เวลาที่เด็กหญิงรอมาตลอดมาถึงแล้วแต่เธอกลับเริ่มลังเล เพราะท่าทีของแม่ทำให้โลกภายนอกในจินตนาการเริ่มน่ากลัวซะแล้วสิ แต่ถึงอย่างนั้นเธอไม่เลิกล้มความตั้งใจ เธอก้าวเท้าออกจากประตูไป

outsidescary_5

โลกข้างนอกแตกต่าง และมีแต่สิ่งที่เด็กหญิงไม่เคยพบเคยเห็นมากมาย ผู้คนก็ไม่มีใครหน้าตาเหมือนเธอและแม่เลยแม้แต่คนเดียว เด็กหญิงจึงเริ่มรู้สึกกลัว เสียงคำเตือนของแม่ดังก้องอยู่ในหัวซ้ำแล้วซ้ำอีก กระทั่งเด็กหญิงรู้สึกว่ามีสัตว์ประหลาดตัวหนึ่งเดินตามเธอมา เธอรีบวิ่งหนีตรงกลับบ้านตามที่แม่บอก แต่ด้วยความตื่นตระหนกเธอจึงสะดุดขาตัวเองล้มลง หัวกระแทกพื้นอย่างจัง หน้ากากของเธอแตกออก เด็กหญิงหลับตาปี๋ เพราะอากาศภายนอกกำลังไหลเข้ามา เด็กหญิงคิดว่าเธอจะต้องตายแน่ ๆ

outsidescary_6

แต่กลับไม่เป็นเช่นนั้น เด็กหญิงสูดลมหายใจ แต่เธอก็ยังสบายดี เธอลองหายใจอีกครั้ง ก็ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น เธอจึงผุดลุกขึ้น และถอดหน้ากากออก

มีเสียงซุบซิบจากผู้คนรอบข้างที่หันมามองเด็กหญิงเป็นตาเดียว สัตว์ประหลาดตัวนั้นถามเด็กหญิงว่า “เป็นอะไรไหม” และช่วยเก็บซากหน้ากากที่แตกกระจายอยู่บนพื้น “ข้างนอกก็ไม่ได้น่ากลัวขนาดนั้นนี่” เธอพึมพำ

outsidescary_7

แต่แล้ว สิ่งที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น ผู้คนหน้าตาประหลาดต่างค่อยๆ ถอดหน้ากากของตัวเองออก และเบื้องหลังหน้ากากเหล่านั้น ก็คือเด็กธรรมดาๆ เช่นเดียวกับเธอ…

จริงอย่างที่แม่บอก โลกภายนอกนั้นเต็มไปด้วยสิ่งน่ากลัว เพราะมันเต็มไปด้วยความกลัวของทุกคน


Jlada P.

กระต่ายน้อยประจำเอกวรรณกรรมสำหรับเด็ก ผู้ชอบไปนั่งหย่อนใจ เอกเขนกอยู่ที่เฉลียง พร้อมความคิดที่ว่าโลกยังสวยเสมอ

RELATED POST

COMMENTS ARE OFF THIS POST