เจ้าชายแห่งสนามเด็กเล่น

จากผู้เขียน :

เด็กที่เพิ่งเข้าโรงเรียน กลุ่มเพื่อนคือสิ่งแวดล้อมใหม่ที่ต้องใช้การปรับตัว เพื่ออยู่ในสังคมที่แตกต่างจากสังคมในบ้านที่เข้าคุ้นชิน โดยปกติเด็กจะใช้วิธีสังเกตเด็กคนอื่นสักครู่ แล้วจึงตัดสินใจเข้าไปทำความรู้จัก หรือขอเล่นด้วย แต่หนึ่งนิสัยที่มักสร้างปัญหาในการเข้าร่วมกลุ่ม คือ ความเอาแต่ใจ หรือยึดตัวเองเป็นศูนย์กลาง ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดาที่เกิดขึ้นได้ในเด็กทุกคน จึงไม่แปลกที่ในช่วงแรก เด็กอาจจะมีปัญหาไม่เป็นส่วนหนึ่งของกลุ่ม ไม่ยอมเข้าร่วมกลุ่ม หรือทะเลาะกับเพื่อนในกลุ่ม หน้าที่ของพ่อแม่คือคอยช่วยเหลือ ให้คำแนะนำอยู่ห่างๆ และปล่อยให้เด็กได้เรียนรู้วิธีปรับตัวด้วยตนเอง

นี่คือ เด็กชายที่มีบิดาเป็นพระราชาและมารดาเป็นราชินี ผู้สร้างสนามเด็กเล่นแห่งนี้ขึ้น ทำให้เด็กชายได้รับสมยานามให้เป็น ‘เจ้าชายแห่งสนามเด็กเล่น’ ไปโดยปริยาย

ตั้งแต่จำความได้ เจ้าชายเห็นพ่อและแม่ชี้นิ้วสั่งบรรดาองครักษ์ผู้ดูแลสนามเด็กเล่นมาโดยตลอด เจ้าชายจึงคิดว่าตัวเองก็สามารถชี้นิ้วสั่งใครๆ ได้เช่นกัน

ทันทีที่เจ้าชายได้ลงไปร่วมเล่นกับเด็กคนอื่น ๆ ในสนาม เจ้าชายจึงเริ่มชี้นิ้วสั่งไปทั่ว

“ข้าขอสั่งให้พวกเจ้ามาเล่นกับข้าเดี๋ยวนี้”

เจ้าชายชี้นิ้วสั่ง เมื่อเด็กคนอื่นเห็นว่าเป็นคำสั่งของเจ้าชาย จึงเดินมาเล่นกับเจ้าชายตามคำสั่ง เมื่อเห็นว่าวิธีนี้ใช้ได้ผล เจ้าชายก็ออกคำสั่งกับทุกคนมากขึ้นเรื่อยๆ

“ข้าขอสั่งให้เจ้ามาแกว่งชิงช้าให้ข้า”

“ข้าขอให้สั่งเจ้ามาช่วยข้าก่อกองทราย”

“ข้าจะออกกรรไกร ส่วนเจ้าข้าของสั่งให้ออกกระดาษ! เป่า…ยิง…ฉุบ!”

แต่เจ้าชายไม่เคยรู้ว่า ด้วยพฤติกรรมอย่างนี้ทำให้เด็กคนอื่นเริ่มหาทางห่างเหิน และเลิกเล่นกับเจ้าชายไปในที่สุด

เจ้าชายจึงเปลี่ยนมาออกคำสั่งกับองครักษ์ที่คอยดูแลความเรียบร้อยในสนามเด็กเล่นแทน

“ข้า เจ้าชายแห่งสนามเด็กเล่น ลูกชายคนเดียวของราชาและราชินีเจ้าของสถานที่แห่งนี้ ขอให้สั่งพวกท่านมาเล่นกับข้าเดี๋ยวนี้!”

ทุกคนเดินมาเล่นกับเจ้าชายตามคำสั่ง แต่เมื่อเจ้าชายไม่พอใจ เจ้าชายก็ชูนิ้วโป้งใส่พวกเขา

“โป้ง!” เจ้าชายโป้งใส่องครักษ์ที่เล่นโหนคานได้นานกว่าตัวเอง และขับไล่เขาออกจากสนาม

“โป้ง!” เจ้าชายโป้งใส่องครักษ์ ผู้รับหน้าที่นักเล่านิทานประจำสนามเด็กเล่น เพราะเขาไม่ยอมเล่านิทานเรื่องที่เจ้าชายชอบให้ฟังเป็นรอบที่ 20 และขับไล่เขาออกจากสนามเช่นกัน

เจ้าชายโป้งใส่องครักษ์ทุกคน ไม่นานก็ไม่เหลือองครักษ์คนใดให้เจ้าชายเล่นด้วย

จากนั้น วันใดที่เจ้าชายออกมาเล่นที่สนาม ทุกคนก็พากันหลบหน้าและไม่มีใครเล่นกับเจ้าชายอีก

เจ้าชายทนความเหงาและโดดเดี่ยวไม่ไหว จึงกลับไปเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดให้ราชาและราชินีฟัง

เช้าวันรุ่งขึ้น ฉลองพระองค์ทั้งหมดของเจ้าชายหายไป เหลือไว้เพียงเสื้อผ้าของเด็กชายธรรมดาๆ พร้อมกระดาษโน้ตที่เขียนไว้ว่า

“เกม: เด็กธรรมดา

วันนี้ลูกต้องสมมติว่าตัวเองเป็นเพียงเด็กชายธรรมดา ไม่ใช่เจ้าชายแห่งสนามเด็กเล่น

ห้ามชูนิ้วชี้และนิ้วโป้งให้ใครเป็นอันขาด

ด้วยรัก ราชา และราชินี”

เมื่อไม่ได้สวมมงกุฎและผ้าคลุมไหล่ ก็ไม่มีใครรู้ว่า นี่คือเจ้าชายแห่งสนามเด็กเล่น ไม่มีอำนาจจะชี้นิ้วสั่ง หรือโป้งได้ใครอีก

ดังนั้นเมื่อเจ้าชายอยากจะเข้าไปเล่นกับเด็กคนอื่น ๆ เจ้าชายจึงต้องหาวิธีอื่นที่ไม่ใช่การออกคำสั่ง

“ขอเล่นด้วยคนได้ไหม”

เจ้าชายเข้าไปขอเล่นกับเด็กคนอื่น ปรากฏว่าตลอดทั้งบ่ายวันนั้น เจ้าชายได้เล่นอย่างสนุกสนานกับเด็กทุกคน อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เรียนรู้ที่จะแพ้ ชนะ และพบว่าการไม่ถือตนในฐานะเจ้าของสนามเด็กเล่น และไม่เอาแต่ใจอีก กลับทำให้ตัวเองมีความสุขมากขึ้น

นับแต่นั้นเวลาออกไปเล่นที่สนาม เจ้าชายก็ไม่เคยสวมฉลองพระองค์อีกเลย…


Jlada P.

กระต่ายน้อยประจำเอกวรรณกรรมสำหรับเด็ก ผู้ชอบไปนั่งหย่อนใจ เอกเขนกอยู่ที่เฉลียง พร้อมความคิดที่ว่าโลกยังสวยเสมอ

RELATED POST

COMMENTS ARE OFF THIS POST