คุณพ่อคุณแม่น่าจะเคยสงสัยว่า เมื่อถึงวัยอนุบาล ทำไมเด็กๆ และ ลูกชอบเล่นขายของ หรือการเล่นแบบนี้จะช่วยเสริมทักษะด้านไหนให้ลูกได้บ้างข้อมูลจาก Dorothy Singer นักวิทยาศาสตร์การวิจัยอาวุโส แห่งมหาวิทยาลัยเยล (Yale University) ประเทศสหรัฐอเมริกา ระบุว่า เมื่อเด็กอายุ 2-3 ปี มักจะชอบเล่นสวมบทบาทสมมติ โดยเฉพาะการสมมติว่าตัวเองเป็นคนซื้อและคนขาย ตั้งราคาสินค้าด้วยตัวเอง มีการใช้เงินสมมติ เช่น ธนบัตรจากกระดาษ เหรียญจากฝาขวด แล้วทำท่าทางรับเงิน ทอนเงิน หรือท่าทางสแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อจ่ายเงิน (ปลอมๆ) โดยที่ยังไม่เข้าใจมูลค่าของจำนวนเงินด้วยซ้ำ

สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่า เด็กๆ วัยอนุบาล เริ่มมีความเข้าใจพื้นฐานเกี่ยวกับการค้าขาย เด็กบางคนอาจเริ่มเชิญชวนให้คุณพ่อคุณแม่ช่วยรับบทลูกค้า และซื้อของในร้านให้หมดเพื่อจะได้ปิดร้าน และเล่นเปิดร้านใหม่อีกครั้งในวันถัดไป ดังนั้น นี่อาจเป็นช่วงเวลาที่คุณพ่อคุณแม่จะสอนแนวคิดเกี่ยวกับการเงินและการทำธุรกิจให้กับลูกได้

Neale S. Godfrey ประธานและผู้ก่อตั้ง Children’s Financial Network รัฐนิวเจอร์ซีย์ ประเทศสหรัฐอเมริกา ระบุว่า หนึ่งในคุณสมบัติที่ทำให้ผู้ประกอบการทุกคนมีประสบความสำเร็จก็คือ การได้รับการปลูกฝังเรื่องการทำธุรกิจและเรียนรู้คุณสมบัติของการเป็นผู้ประกอบการตั้งแต่ยังเล็ก จนกลายเป็นวิถีชีวิตไปโดยปริยาย

ตัวอย่าง เช่น Alina Morse เริ่มต้นขายลูกกวาด Zolli Candy ตั้งแต่อายุได้ 9 ปี ปัจจุบันเอลินาอายุ 17 ปี มีธุรกิจที่เติบโตอย่างรวดเร็วที่สุดธุรกิจหนึ่งในอเมริกา ด้วยยอดขายปลีก 6 ล้านดอลลาร์ในปี 2018 และ 12 ล้านดอลลาร์ในปี 2020 ทำให้มอร์สกลายเป็นหนึ่งในสิบของวัยรุ่นที่ร่ำรวยที่สุดในโลก

สิ่งที่ทำให้มอร์สเดินมาสู่เส้นทางนี้ได้ก็คือ เธอกล้าคิด กล้าทำ และมีเป้าหมายที่ชัดเจนตั้งแต่ยังเป็นเด็ก พร้อมได้รับการสนับสนุนจากคนในครอบครัวอย่างเต็มที่

ดังนั้น คุณพ่อคุณแม่อาจไม่ได้คาดหวังให้ลูกเริ่มทำธุรกิจตั้งแต่ยังเล็ก แต่ก็สามารถเตรียมความพร้อมให้ลูกด้วย 4 เทคนิค สอนแนวคิดทางธุรกิจและการเงินฉบับกระทัดรัด เพื่อประโยชน์กับลูกในอนาคตได้ได้

1. ลูกสนใจอะไร ลองชวนลูกทำสิ่งนั้น

หากคุณพ่อคุณแม่สังเกตว่าลูกสนใจกิจกรรมอะไรเป็นพิเศษ หรือเล่นอะไรได้บ่อยโดยไม่เบื่อ อยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่งได้นาน หรือแม้แต่ความชอบที่เป็นเอกลักษณ์ส่วนบุคคล เช่น ลูกเป็นเด็กชอบกินขนม ชอบหวีผม ชอบติดกิ๊บ หรือแม้แต่ชอบเล่นบทบาทสมมติซ้ำๆ นี่คือโอกาสที่ดีที่จะปลูกฝังเรื่องการทำธุรกิจและอาชีพให้กับลูกวัยอนุบาล หรือการชวนลูกทำธุรกิจขนาดเล็กจากความชอบของลูกขึ้นมาจริงๆ

ตรงกับความเห็นของ T. Renee’ Smith ผู้เขียน The CEO Life และประธานของ iSuccess Consulting ระบุว่า หากเด็กๆ รักสุนัขหรือแมว ลองชวนลูกทำธุรกิจเกี่ยวกับสัตว์เลี้ยง หากเด็กๆ ชอบวาดรูป ลองแนะนำให้ลูกขายงานศิลปะบนโลกออนไลน์ หรือนำผลงานมาทำเป็นลายพรินต์ลงบนเสื้อ สติกเกอร์ และของใช้ หรือหากลูกเป็นเด็กชอบทำอาหาร ลองชวนลูกทำอาหารง่ายๆ ขายก็ได้ เพราะเป้าหมายที่สำคัญคือ การจับคู่ธุรกิจให้ตรงกับความสนใจของลูกเพื่อสร้างประสบการณ์ที่ดีนั่นเอง

เช่นเดียวกับ Sarah Santacroce ผู้เชี่ยวชาญด้านการทำตลาดผ่านสื่อดิจิทัลให้ความเห็นไว้ว่า เธอและสามีปลูกฝังให้ลูกๆ มีแนวคิดการทำธุรกิจตั้งแต่ยังเล็ก ด้วยการพูดคุยถึงสิ่งที่ลูกชอบ และวิธีเปลี่ยนความชอบนั้นให้เป็นธุรกิจในอนาคต

ในฐานะผู้ประกอบการ เธอเชื่ออย่างสุดใจว่า เมื่อลูกเติบโตขึ้นและได้ทำสิ่งที่รักเป็นธุรกิจ หรือสามารถสร้างอาชีพให้กับตัวเองได้ เท่ากับว่าลูกจะไม่ต้องรู้สึกว่าโดนบังคับให้ทำงาน แต่กำลังทำให้สิ่งที่อยากทำในทุกวัน และนี่คือสิ่งที่เธอต้องการจะส่งต่อให้กับลูกตั้งแต่ยังเล็ก

2. ชวนลูกเป็นนักวางแผน(ธุรกิจ)

Dr. Karen Aronian นักการศึกษาและคุณแม่ที่สนับสนุนให้ลูกทั้งสองคนทำธุรกิจขายลูกเกดและไอศกรีมโฮมเมดตั้งแต่ยังเล็ก แสดงให้เห็นว่า การเปิดโอกาสให้เด็กๆ ได้เป็นผู้นำการวางแผนทำธุรกิจด้วยตัวเอง จะช่วยให้ลูกเป็นเด็กที่มีกระบวนการคิดอย่างเป็นเหตุเป็นผล โดยเฉพาะในเชิงธุรกิจ

การตั้งคำถามปลายเปิดเกี่ยวกับธุรกิจและกิจการเพื่อให้ลูกมีส่วนร่วม เช่น เราจะขายกันที่ไหนดี ขายราคาเท่าไหร่ ทำยังไงถึงจะมีลูกค้าเข้าร้านเยอะๆ รวมทั้งชวนลูกตั้งเป้าหมายระยะสั้นและระยะยาว จะช่วยให้ลูกได้ฝึกการคิดแผนธุรกิจฉบับเด็กอนุบาลด้วยตัวเอง

3. ผู้ประกอบการตัวน้อยและการเปิดร้านจริง

คุณพ่อคุณแม่อาจเริ่มต้นด้วยการชวนลูกเปิดร้านเล็กๆ หน้าบ้าน มีโต๊ะหนึ่งตัว มีป้ายร้าน และป้ายราคาที่ช่วยการวาด บรรจุภัณฑ์ที่ช่วยกันเลือก รวมทั้งการตกแต่งร้านที่ลูกเป็นคนออกไอเดีย หรือจะลองเปิดท้ายขายของหลังรถของครอบครัวก็ยังได้

มันอาจจะเป็นกิจกรรมที่คุณพ่อคุณแม่ต้องลงทุนและลงแรงมากกว่าลูกสักหน่อย แต่สำหรับลูกแล้ว นี่คือจุดเริ่มต้นของความสนุก มาพร้อมการเรียนรู้เรื่องการทำธุรกิจ ที่จะสามารถต่อยอดความคิดให้กับลูกในวันข้างหน้า

เช่นเดียวกับ Jen Bradley คุณแม่ จากรัฐอินเดียน่าผู้อยู่เบื้องหลังการทำธุรกิจน้ำมะนาว ที่มีชื่อว่า The Lemonade Way ของลูกทั้ง 4 คน ที่เริ่มทำธุรกิจตอนที่มีอายุ 6, 8, 11 และ 13 ปี แสดงให้เห็นว่า การเปิดโอกาสให้ลูกลงมือทำ คือสิ่งสำคัญของการเรียนรู้ โดยมีคุณพ่อคุณแม่เป็นผู้ช่วย และผู้สนับสนุนอยู่เบื้องหลัง หลังจากนั้นลูกๆ ของเธอก็คิดที่จะมอบรายได้ส่วนหนึ่งให้กับสถาบันวิจัยออทิสติก ก่อนมุ่งมั่นทำธุรกิจอย่างจริงจังในเวลาต่อมา

4. หลักสูตรหน้าบ้าน ช่วยเสริมสร้างทักษะชีวิต

#ช่วยส่งเสริมการเรียนรู้ด้วยตัวเอง คุณพ่อคุณแม่สามารถส่งเสริมและสนับสนุนให้ลูกกล้าแสดงออก ด้วยการเอ่ยเชิญชวนลูกค้า ทำเป็นตัวอย่างให้เห็น แล้วเปิดโอกาสให้ลูกได้เป็นเป็นนักขายตัวน้อยที่มีความมั่นใจ กล้าคิด กล้าทำ กล้าตัดสินใจอย่างถูกต้องเหมาะสมตามวัยได้ด้วยตัวเองตั้งแต่ยังเล็ก

#เรียนรู้คำว่าอดทน ประสบการณ์ตรงของลูก และคำแนะนำของคุณพ่อคุณแม่ จะช่วยปลูกฝังและสอนลูกเรื่องความอดทน การรอคอย และความพากเพียรให้กับลูกได้

#รู้จักการใช้เงิน การเล่นขายของ สู่การเปิดร้านอย่างสมจริง ช่วยทำให้ลูกเข้าใจในคุณค่าของสิ่งของ ส่งเสริมความรู้ทางการเงิน และการออม เข้าใจคุณค่าของสิ่งของ เพื่อให้ลูกรู้จักการใช้เงินอย่างเหมาะสมเมื่อโตขึ้น

#ล้มได้แต่อย่าเพิ่งยอมแพ้ เมื่อการเปิดร้านคือ ‘ความกล้าหาญ’ แต่การขายไม่ได้หรือไม่มีลูกค้า ก็อาจจะไม่ใช่ ‘ความล้มเหลว’ เสมอไป คุณพ่อคุณแม่สามารถใช้ช่วงเวลานี้ แสดงให้ลูกถึงการคิดเพื่อแก้ไขปัญหา ข้อดีข้อเสียของสถานการณ์ที่เจอ และอธิบายให้ลูกฟังว่าความล้มเหลวก็เป็นส่วนหนึ่งของความสำเร็จเช่นกัน

ไม่แน่ว่า การเปิดร้านเล็กๆ สนุกๆ อยู่หน้าบ้านของลูกในวันนี้ จะกลายเป็นธุรกิจที่สามารถขยายสาขาได้ทั่วประเทศในวันที่ลูกเติบโตหรือเป็นเพียงกิจกรรมสนุกๆ ในวัยเด็ก แต่ทั้งหมดก็จะเป็นประสบการณ์ดีๆ ที่มีจุดเริ่มต้นเป็นความชอบเล่นขายของนั่นเอง

อ้างอิง
all business
forbes
parents