ด้วยสภาพสังคมและวิธีการเลี้ยงดูในปัจจุบัน ทำให้โรคสมาธิสั้น (ADHD-Attention Deficit Hyperactivity Disorder) เข้ามาเป็นปัญหาที่คุณพ่อคุณแม่ยุคใหม่ต้องกังวลใจ
หากคุณหมอเคยวินิจฉัยว่าลูกของคุณเป็นโรคสมาธิสั้น หรือคุณพ่อคุณแม่กำลังสงสัยว่าลูกมีอาการของโรคสมาธิสั้นหรือเปล่า ลองสังเกตพฤติกรรมอาการข้างเคียงอื่นๆ ที่เกิดขึ้นกับลูกควบคู่กันไปด้วยก็ได้ เพราะไม่ใช่แค่โรคสมาธิสั้นเท่านั้นที่น่าเป็นห่วง แต่มันอาจจะพ่วงความผิดปกติทางพัฒนาการซึ่งเป็นอาการของทางจิตเวชอีก 3 โรค ดังนี้
1. โรคบกพร่องทางการเรียนรู้ (Learning Disorder: LD)
โรคบกพร่องทางการเรียนรู้ เกิดจากการทำงานที่ผิดปกติของสมอง ทำให้เกิดภาวะบกพร่องในกระบวนการเรียนรู้ แสดงอาการออกมาให้เห็นทางด้านการอ่าน การเขียนสะกดคำ การคำนวณ ทำให้ผลการเรียนของเด็กต่ำกว่าศักยภาพจริง
โรคบกพร่องทางการเรียนรู้เป็นโรคที่สามารถเกิดร่วมกับโรคทางจิตเวชอื่นๆ ได้ และมีโอกาสเกิดร่วมกับโรคสมาธิสั้นได้ถึงร้อยละ 40-50
แต่หากผู้ป่วยได้รับยารักษาโรคสมาธิสั้น อาการของโรคบกพร่องทางการเรียนรู้ก็จะทุเลาลงไปด้วย
วิธีสังเกตอาการจากโรคบกพร่องทางการเรียนรู้
1. ความบกพร่องด้านการอ่าน
– เด็กไม่สามารถจดจำพยัญชนะ สระ ตัวสะกด และขาดทักษะในการสะกดคำ
– อ่านออกเสียงไม่ชัด
– ผันเสียงวรรณยุกต์ไม่ได้
– อ่านข้าม เพิ่มคำ ลดคำ จับใจความเรื่องที่อ่านไม่ได้
– อ่านกลับคำหรือสลับที่คำ เช่น เพลา อ่านเป็น ลาเพ
– อ่านคำควบกล้ำไม่ออก
– อ่านโดยการเดาจากภาพหรือแทนที่คำอ่านด้วยคำอื่น
– แสดงอาการหงุดหงิด กังวล ไม่สบายใจระหว่างการอ่าน จนหลีกเลี่ยงการอ่านหนังสือที่มีเนื้อหามากๆ
2. ความบกพร่องด้านการเขียน
– เด็กเขียนพยัญชนะ สระ และวรรณยุกต์ไม่ถูกต้อง เรียงลำดับอักษรผิด วางสระหรือวรรณยุกต์ผิดตำแหน่ง
– เขียนหนังสือช้า เพราะกลัวสะกดผิด
– เขียนตัวหนังสือกลับด้าน เหมือนภาพสะท้อนจากกระจกเงา หรือเขียนตัวอักษรสลับด้าน เช่น ถ เป็น ภ หรือ พ เป็น ผ
– เขียนตัวหนังสือสลับที่กัน เช่น กลัว เป็น กวัล
– เขียนตามเสียงที่อ่าน เช่น กาญจนบุรี เป็น กาจนะบุรี
– เขียนไม่ตรงบรรทัด ขนาดตัวอักษรไม่เท่ากัน ไม่เว้นขอบ ไม่เว้นช่องไฟ
– เขียนได้แค่ประโยคสั้นๆ ง่ายๆ และใช้คำเดิม สื่อความหมายผ่านการเขียนได้ไม่ดี เขียนแล้วอ่านไม่รู้เรื่อง ทำให้เขียนแล้วลบ ไม่มั่นใจในสิ่งที่เขียน จนในที่สุดหลีกเลี่ยงการเขียน
3. ความบกพร่องด้านการคำนวณ
– ความสามารถด้านการคำนวณด้อยกว่าเด็กคนอื่นในชั้นเรียนอย่างมาก
– คิดเลขช้ามาก
– ไม่เข้าใจวิธีการบวก ลบ คูณ หาร หรือการใช้คำนวณสูตรต่างๆ ไปจนถึงหลักการยืมการทดเลข
– ไม่รู้ว่าเลขใดมีจำนวนมากกว่าหรือน้อยกว่ากัน
– คิดเลขตกหล่น ผิดพลาด สะเพร่า
– สับสนและไม่เข้าใจสัญลักษณ์ต่างๆ ทางคณิตศาสตร์ เช่น > หรือ <
– มีปัญหาในการคิดเลขในใจ
– ตีโจทย์ปัญหาเลขไม่ออก
– ไม่เข้าใจเรื่องเวลา ดูนาฬิกาไม่เป็น
– มีปัญหาในเรื่องของการชั่ง ตวง วัด และการนับเงิน ทอนเงิน
2. โรคทูเร็ตต์ (Tourette’s Disorder) หรือ (Tic Disorder)
โรคทูเร็ตต์ เกิดจากความผิดปกติของการพัฒนาระบบประสาททำให้การเคลื่อนไหว หรือการส่งเสียงที่เกิดขึ้นทันทีทันใด ในลักษณะซ้ำๆ และไม่สามารถควบคุมร่างกายได้ อาการแบบนี้เรียกว่า ‘ติ๊ก’ (Tic)
และเด็กที่เป็นโรคสมาธิสั้น มีโอกาสเป็นโรคทูเร็ตต์ควบคู่กันไปด้วยถึงร้อยละ 40
วิธีสังเกตว่าจะเด็กเป็นโรคทูเร็ตต์หรือโรคติ๊กหรือไม่ มีดังต่อไปนี้
อาการด้านการเคลื่อนไหว (Motor Tic)
– ตาขยิบ
– หน้าขมุบขมิบ
– บิดคอ
– ยักไหล่สะบัดมือ
– ต่อย
– เตะ
– กระโดด
อาการด้านการส่งเสียง (Vocal Tic)
– ทำเสียงขากเสลด
– ทำเสียงฟึดฟัดคัดจมูก
– ไอกระแอม
– เสียงคราง
– เสียงเห่า
– พูดคำหยาบคาย
อาการมักเป็นๆ หายๆ อาจเป็นได้หลายครั้งต่อวัน และหายไปหลายวันแล้วกลับมาเป็นใหม่อาการจะลดลงหรือหายไปในเวลานอนหลับ โดยอาการมีการเปลี่ยนลักษณะไปเรื่อยๆ ตามช่วงเวลา
3. โรคย้ำคิดย้ำทำ (Obsessive-Compulsive Disorder: OCD)
โรคย้ำคิดย้ำเป็นภาวะวิตกกังวลอย่างหนึ่ง เกิดจากบางส่วนของสมองทำงานมากกว่าปกติหรือสมองส่วนหน้าและสมองส่วนกลางทำงานประสานกันผิดปกติ
ในเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปีที่เป็นโรคสมาธิสั้นมีโอกาสเป็นโรคย้ำคิดย้ำทำควบคู่กันไปด้วยถึงร้อยละ 25-50
เด็กที่ป่วยเป็นโรคย้ำคิดย้ำทำจะแสดงอาการได้ 2 ลักษณะ ดังต่อไปนี้
1. อาการย้ำคิด คือ เด็กมีความคิดวิตกกังวลและกลัวอยู่ตลอดเวลา บางครั้งก็จินตนาการไปเองว่าจะมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้น ถึงจะรู้อยู่แก่ใจก็ตามว่าสิ่งที่คิด สิ่งที่กังวลนั้นไร้สาระ ไม่มีเหตุ แต่ไม่สามารถหยุดความคิดนั้นได้
ตัวอย่างอาการย้ำคิด เช่น คิดว่าลืมล็อกประตูบ้าน ลืมปิดเตาแก๊ส กลัวความสกปรกหรือกลัวการสัมผัสสิ่งของหรือตัวผู้อื่น ไม่สบายใจเวลาเห็นของไม่เป็นระเบียบ ไม่เป็นหมวดหมู่
2. อาการย้ำทำ คือ เด็กตอบสนองความกังวลด้วยการทำสิ่งต่างๆ เพื่อให้ลดความไม่สบายใจหรือความกลัวโดยไม่สามารถหยุดการกระทำของตัวเองได้ และส่งผลต่อการใช้ชีวิตประจำวัน
ตัวอย่างอาการย้ำทำ เช่น คอยตรวจเช็กประตูบ้านหรือเตาแก๊สซ้ำไปมา ล้างมือหรืออาบน้ำบ่อยเกินไป จัดสิ่งของให้เป็นระเบียบ แยกเป็นหมวดหมู่ หันไปทางเดียวกันอยู่เสมอ
จะเห็นได้ว่าอาการทั้งสองมีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกัน อาการย้ำคิดเป็นอาการทางด้านความวิตกกังวล อาการย้ำทำคือ การตอบสนองอาการย้ำคิดเพื่อให้เกิดความสบายใจ
วิธีช่วยพ่อแม่สังเกตว่าลูกเป็นโรคย้ำคิดย้ำทำ ได้แก่
– เด็กชอบเช็กหรือตรวจสอบอะไรซ้ำๆ จนส่งผลกระทบต่อการทำกิจวัตรอื่นในชีวิตประจำวัน
– ทำความสะอาดร่างกายซ้ำๆ ผู้ป่วยกลุ่มนี้จะย้ำคิดในเรื่องของความสะอาดหรือเชื้อโรค หากรู้สึกว่ามือไม่สะอาด จะล้างซ้ำๆ วันละ 20-30 รอบจนมือเปื่อยมีแผล หรือบางคนอาบน้ำวันละ 4-5 รอบ และถ้าเสื้อผ้าหรือร่างกายถูกคนอื่นจะถอดออกไปซักทันที
– ชอบนับซ้ำๆ เวลาเจออะไรหรือทำอะไรแล้วต้องนับจำนวน นับซ้ำไปมาหลายรอบเพื่อให้มั่นใจว่าตนนับถูกแล้ว เช่น เจอกองปากกาวางบนโต๊ะ ก็ต้องนับว่ามีกี่แท่ง นับซ้ำๆ หลายๆ รอบเพื่อให้มั่นใจว่าจำนวนปากกาจะเท่ากันทุกครั้งที่นับ
– ทุกอย่างต้องเป๊ะ เป็นระเบียบเท่าๆ กัน ผู้ป่วยจะมีอาการคือทำอะไรก็ต้องให้ได้สมดุล เป็นระเบียบหรือให้ได้เท่ากัน เช่น เวลาวางช้อนส้อม ปลายช้อนส้อมต้องเท่ากับจาน วางตรงขนาบข้างจานด้วยระยะห่างที่เท่ากัน
COMMENTS ARE OFF THIS POST