เหตุการณ์เด็กชายวัย 11 ปี อาละวาดจนถึงขั้นคว้ามีดไล่แทงพี่ชายและจ่อหน้าแม่ เป็นข่าวที่แค่อ่านก็ทำให้ผู้คนรู้สึกสะเทือนใจได้ ยิ่งได้เห็นภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น มองจากสายตาคนนอกก็พอดูออกว่า เบื้องหลังความรุนแรงที่เห็นนั้น คือสัญญาณอันตรายที่เด็กคนหนึ่งกำลังแสดงออกมาอย่างสิ้นหวัง
สถานการณ์ที่สื่อพากันพาดหัวข่าว่า เด็กคลั่ง สะท้อนให้เห็นปัญหาเด็กกับความรุนแรง ที่ควรได้รับความสนใจมากขึ้น เพราะนอกจากเราจะมีสังคมที่เด็กมักตกเป็นเหยื่อของความรุนแรงแล้ว ผลกระทบที่น่าเป็นห่วงไม่แพ้กันก็คือเด็กๆ กลายมาเป็นผู้สร้างความรุนแรงเสียเอง
เมื่อเห็นอาการ เด็กคลั่ง หลายคนอาจคิดว่า เด็กที่แสดงความพฤติกรรมเช่นนี้เป็นเพราะความเอาแต่ใจ นิสัยก้าวร้าว และไม่ได้รับการอบรมที่ดีจากพ่อแม่ผู้ปกครอง แต่ในความเป็นจริง เด็กที่ควบคุมอารมณ์และจัดการพฤติกรรมของตัวเองไม่ได้ นอกจากปัญหาที่มาจากการเลี้ยงดูแล้ว พวกเขาอาจกำลังเผชิญปัญหาภายในจิตใจที่ไม่รู้จะรับมือและสื่อสารออกมายังไงอีกด้วย
สิ่งที่พ่อแม่และผู้ปกครองควรทำก็คือความใส่ใจ ให้ความสำคัญและสังเกตสัญญาณอันตรายที่ลูกแสดงออกมาเพื่อหาทางรับมือและแก้ไข เพราะเด็กที่มีพฤติกรรมรุนแรง อาจไม่ได้มาจากมีจิตใจที่เลวร้าย แต่คือคนที่เจ็บปวดจนทนไม่ไหว และการช่วยเหลือที่รวดเร็วและถูกทางพอ อาจเปลี่ยนเส้นทางชีวิตของเขาไปได้อย่างสิ้นเชิง
1. สังเกตว่าลูกมีพฤติกรรมและอารมณ์ที่เปลี่ยนไป โดยไม่จับผิด

หากเห็นว่าลูกมีพฤติกรรมและอารมณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป เช่น ก้าวร้าว ทำลายข้าวของ ควบคุมอารมณ์ไม่ได้ หวาดกลัว อารมณ์ฉุนเฉียวง่าย ซึมเศร้า หรือมีพฤติกรรมที่อาจเป็นอันตราย คุณพ่อคุณแม่ควรเข้าไปพูดคุยกับลูกด้วยความห่วงใย อย่างจริงใจและไม่จับผิด เช่น ช่วงนี้ลูกรู้สึกอย่างไร หรือถามว่าลูกต้องการให้ช่วยอะไรบ้าง โดยคุณพ่อคุณแม่ควรตั้งใจรับฟังให้มากและไม่ใช้ความคิดเห็นของตัวเองตัดสิน
2. ทัศนคติที่ลูกมีต่อการใช้ความรุนแรง

อีกสิ่งที่ควรสังเกตก็คือทัศนคติของลูกที่มีต่อการใช้ความรุนแรง เช่น ลูกชอบเสพสื่อที่มีความรุนแรง ชอบใช้ความรุนแรงกับสิ่งของหรือสัตว์ ทำลายสิ่งของโดยไม่จำเป็น หรืออยากทดลองเกี่ยวกับกับความรุนแรงหรือไม่ หากคุณพ่อคุณแม่พบว่าลูกมีพฤติกรรมเหล่านี้ ควรหมั่นเอาใจใส่และพูดคุยกับลูกให้มากขึ้น เปิดโอกาสให้ลูกพูดเกี่ยวกับความรุนแรง อย่าเพิ่งรีบดุ ตำหนิ หรือทำโทษลูก แต่ควรแสดงความเข้าใจต่อความรู้สึกของเขา เพื่อให้ลูกรับรู้ว่ายังมีคุณพ่อคุณแม่อยู่ข้างๆ เสมอเพื่อเข้าสู่กระบวนการการช่วยเหลือต่อไป
3. ลูกมักชอบเก็บตัวอยู่คนเดียว

โดยธรรมชาติของเด็กแต่ละคนมีนิสัยและความชอบแตกต่างกันไป เด็กบางคนชอบทำกิจกรรม ชอบเข้าสังคม ในขณะเดียวกันก็มีเด็กที่รักสันโดษ หรือมีโลกส่วนตัวสูง ชอบทำกิจกรรมหรือเล่นเงียบๆ เพียงคนเดียว
แต่เมื่อใดก็ตามที่คุณพ่อคุณแม่เริ่มสังเกตเห็นว่าลูกมักเก็บตัวอยู่ลำพังผิดปกติ เช่น ไม่กล้าพบปะผู้คน ไม่อยากทำกิจกรรม ปิดกั้นตัวเองออกจากสังคมภายนอก นั่นหมายความว่าลูกอาจกำลังมีปัญหาภายในจิตใจได้
4. สังเกตเพื่อนของลูกด้วย

เป็นธรรมดาของเด็กที่กำลังจะเริ่มเข้าสู่วัยรุ่น มีแนวโน้มที่จะติดเพื่อนมากขึ้น ประกอบกับเป็นวัยที่เริ่มอยากรู้อยากลอง จึงอาจมีการชักชวนกันไปทำในสิ่งที่ไม่เหมาะสม
ดังนั้น นอกจากคุณพ่อคุณแม่จำเป็นที่จะต้องสังเกตพฤติกรรมของลูกตัวเองแล้ว ควรสอดส่องพฤติกรรมเพื่อนๆ ของลูกด้วย เช่น อาจจะถามลูกเกี่ยวกับความรู้สึกที่มีต่อเพื่อน ลูกรู้สึกกับเพื่อนคนนี้อย่างไร ทำไมลูกถึงชอบเล่นกับเพื่อนคนนี้ และที่สำคัญไม่ควรใช้คำถามที่จับผิดจนทำให้ลูกรู้สึกอึดอัด แต่ควรค่อยๆ สอนอย่างเข้าใจ
COMMENTS ARE OFF THIS POST