การเลี้ยงลูกด้วยอารมณ์ ไม่ได้หมายถึงการทำโทษด้วยการตีเท่านั้น แต่รวมไปถึงการพูดเสียงดังใส่ลูก เหวี่ยงวีน หงุดหงิด ใช้คำพูดเชิงลบกับลูก ตะคอกใส่ลูก และทะเลาะกับลูก มากกว่าที่จะใช้เหตุผลอธิบาย
การเลี้ยงลูกด้วยอารมณ์มีผลกระทบต่อพฤติกรรมและจิตใจของลูกในระยะยาว ส่งผลให้ลูกมีพฤติกรรมเสี่ยงดังนี้
1. ลูกมีพฤติกรรมก้าวร้าวและขาดความยับยั้งชั่งใจ
เด็กๆ ที่ถูกเลี้ยงดูด้วยอารมณ์ตั้งแต่ขวบแรก จะเริ่มมีพฤติกรรมก้าวร้าวมากขึ้นเมื่อมีอายุครบสองขวบ และมีผลกระทบกับกระบวนการทางความคิดในวัยสามขวบขึ้นไป ส่งผลให้ลูกใช้กำลัง ใช้คำพูดที่ไม่เหมาะสม รวมไปถึงทำลายข้าวของ
การใช้เหตุผล ลูกในวัย 2-6 ขวบ เป็นช่วงเรียนรู้ระเบียบวินัย ดังนั้นสิ่งที่ดีที่สุดที่พ่อแม่สามารถทำได้คือ การแนะนำ อธิบายให้ลูกเรียนรู้ และเข้าใจสิ่งต่างๆ ที่สำคัญคือควรหลีกเลี่ยงการลงโทษลูกด้วยการตี
2. ลูกมีพฤติกรรมชอบรังแกเพื่อน
เพราะขาดความเชื่อมั่นในตัวเอง
เลี้ยงลูกด้วยอารมณ์ในระยะสั้นจะส่งผลต่ออารมณ์ความรู้สึก ทำให้ลูกรู้สึกไม่ปลอดภัยและหวาดกลัว แต่ในระยะยาวส่งผลให้ลูกเลียนแบบพฤติกรรมไม่น่ารัก ด้วยการใช้คำพูดและรังแกเพื่อนหรือคนรอบตัว เพราะรู้สึกไม่มีความมั่นใจในตัวเอง
การใช้เหตุผล สอนและคุยกับลูกด้วยเหตุผล ใช้ถ้อยคำที่นุ่มนวล ชี้ให้เห็นถึงผลลัพธ์ต่างๆ ที่จะตามมาเมื่อลูกมีพฤติกรรมไม่น่ารัก รวมถึงสอนให้ลูกภูมิใจในตัวเอง เพื่อให้ลูกมั่นใจและพยายามหลีกเลี่ยงพฤติกรรมที่ไม่ดีกับคนอื่น
3. เป็นต้นเหตุทำลายความผูกพันในครอบครัว
นอกจากการเลี้ยงลูกด้วยอารมณ์จะส่งผลกระทบกับพฤติกรรมและจิตใจของลูกแล้ว ยังส่งผลกับความสัมพันธ์ในครอบครัวด้วย ยกตัวอย่างเช่น เกิดปัญหาทะเลาะวิวาทและใช้ความรุนแรง รวมถึงทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างคุณพ่อคุณแม่กับลูกห่างเหิน ทำให้ลูกขาดความใกล้ชิด รู้สึกไม่ได้รับความรัก ความใส่ใจ
การใช้เหตุผล การลงโทษเป็นการควบคุมลูกให้อยู่ในระเบียบ แต่สิ่งที่ลูกรู้สึกคือพ่อแม่กำลังพยายามทำร้าย ดังนั้นคุณพ่อคุณแม่ควรเปลี่ยนจากการลงโทษมาเป็นวางข้อตกลงและแนะนำลูก ยกตัวอย่างเช่น แทนที่จะพูดว่า “จะต้องให้แม่ พูดอีกกี่ครั้งว่าให้เล่นเบาๆ” เปลี่ยนเป็นบอกลูกว่า “ลูกเล่นแรงไปแล้ว แม่จะให้ลูกหยุดเล่นก่อน เพราะมันอันตราย ถ้าลูกนิ่งแล้วเรามาเล่นกันใหม่”
4. ลูกติดนิสัยโกหก
เพราะการพูดความจริงจะถูกคุณพ่อคุณแม่ลงโทษอย่างรุนแรง ลูกเลยเลือกที่จะโกหกเพื่อปกปิดความผิดที่ทำ เมื่อโกหกบ่อยๆ กลายเป็นนิสัยติดตัว
การใช้เหตุผล สร้างความไว้วางใจให้ลูกและหลีกเลี่ยงสถานการณ์ที่จะเปิดโอกาสให้ลูกโกหก ยกตัวอย่างเช่น เมื่อลูกทำน้ำหกเลอะลงพื้น แทนที่จะพูดว่า “นั่นลูกทำอะไรน่ะ” เปลี่ยนเป็นบอกลูกว่า “แม่เห็นลูกทำน้ำหก ไปหาผ้ามาเช็ดพื้นด้วยนะคะ”
นอกจากนี้พยายามหลีกเลี่ยงการกล่าวโทษหรือลงโทษลูก เช่น ว่าลูกเป็นเด็กเลี้ยงแกะ เป็นจอมโกหก เพราะเป็นการสร้างภาพด้านลบในตัวลูก ส่งผลให้ลูกขาดความมั่นใจ และกลายเป็นเด็กติดนิสัยโกหกขึ้นมาจริงๆ
5. ลูกมีพฤติกรรมไม่เชื่อฟังและต่อต้าน
เด็กที่ถูกเลี้ยงด้วยอารมณ์ส่งผลให้ลูกต่อต้าน อยากเอาชนะ พ่อแม่บอกให้ทำอะไร ก็จะไม่ทำ ยิ่งดื้อ ยิ่งต่อต้านมากขึ้น และใช้อารมณ์มากกว่าฟังเหตุผลของคุณพ่อคุณแม่
การใช้เหตุผล คุณพ่อคุณแม่แสดงให้ลูกเห็นว่าเราเป็นทีมเดียวกัน และให้ลูกรู้สึกเป็นคนสำคัญในการทำสิ่งนั้นจริงๆ ยกตัวอย่างเช่น ตั้งแต่ช่วงเริ่มหัดเดิน คุณพ่อคุณแม่สามารถสื่อสารให้ลูกฟังได้ว่างานที่พ่อแม่ต้องรับผิดชอบมีอะไรบ้าง และเริ่มแจกงานบ้านที่ต้องรับผิดชอบ สิ่งไหนที่ลูกอยากทำ เมื่อทำตามหน้าที่เรียบร้อยแล้ว คุณแม่อาจใช้วิธีขีดเครื่องหมายว่าได้ทำงานตามมอบหมายแล้ว ลูกจะเกิดความภูมิใจและเชื่อฟังคุณพ่อคุณแม่มากขึ้น
6. ลูกเข้าสังคมได้ยากและมีผลการเรียนแย่ลง
ผลกระทบจากการเลี้ยงลูกด้วยอารมณ์ไม่ต่างจากผลกระทบที่เกิดกับลูกที่ถูกทำร้ายร่างกายซ้ำๆ สมองส่วนหน้าที่มีบทบาทสำคัญในการสร้างการรับรู้ทางสังคม รวมถึงสมองส่วนที่เชื่อมโยงการเรียนรู้ไม่สามารถพัฒนาได้อย่างเต็มที่ ส่งผลให้ลูกเข้าสังคมยาก และมีศักยภาพในการเรียนแย่ลง
การใช้เหตุผล แทนที่คุณพ่อคุณแม่จะใช้อารมณ์กับลูก ลองเปลี่ยนมาหาสาเหตุที่แท้จริงของพฤติกรรมที่ไม่น่ารักของลูก ยกตัวอย่างเช่น ลูกร้องไห้ โวยวาย จริงๆ แล้วลูกอาจจะกำลังหิว หรือนอนไม่พอ คุณพ่อคุณแม่ควรถามและทำท่ารับฟังอย่างตั้งใจ ไม่ใส่อารมณ์ไปตามอารมณ์แปรปรวนของลูก
นอกจากนี้ควรบอกเวลาให้ลูกรู้ตัวล่วงหน้า ยกตัวอย่างเช่น พาลูกไปว่ายน้ำ ควรบอกลูกว่าอีกห้านาที คุณแม่จะกลับบ้านแล้ว เพื่อให้ลูกเตรียมตัวเตรียมใจก่อนกลับบ้าน หรือให้ตัวเลือกกับลูก ยกตัวอย่างเช่น “ลูกอยากว่ายน้ำต่ออีกห้าหรือ สิบนาทีดีนะ”
COMMENTS ARE OFF THIS POST