อาการแปลกๆ ที่เกิดขึ้นกับร่างกายของลูก หลังจากรับประทานอาหารบางประเภทเข้าไปแล้ว อาการเหล่านี้เป็นกระบวนการบางอย่าง ที่ร่างกายของเด็กๆ กำลังพยายามสื่อสารว่า ร่างกายเขามีปฏิกิริยาต่ออาหารนั้นๆ และคุณพ่อคุณแม่ต้องคอยสังเกต เพราะอาการของลูกอาจหนักขึ้นเรื่อยๆ โดยให้ดูจากลักษณะอาการและความถี่ของปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นกับลูก เมื่อพาไปพบคุณหมอแล้ว จะได้แก้ไขรักษาได้อย่างถูกต้อง
1. คลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง
หลายครั้งที่คุณพ่อคุณแม่เข้าใจผิด คิดว่าเป็นอาการที่มาจากความป่วยไข้ ท้องเสียจากอาหาร หนึ่งในอาการแพ้ที่พบมากที่สุดในทารกคือ แพ้โปรตีนจากนม โดยอาการทั่วไปคืออุจจาระอาจมีสีเขียว เป็นเมือก หรือมีลิ่มเลือดปนอยู่ ซึ่งเกิดจากนมวัวทำให้เยื่อบุลำไส้ระคายเคือง และร่างกายของทารกพยายามจะขับมันออก
วิธีสังเกตผลิตภัณฑ์จากโปรตีนนมที่ลูกอาจแพ้:
ชื่อสามัญบางส่วนสำหรับโปรตีนนม ที่คุณพ่อคุณแม่อ่านฉลากแล้วอาจต้องหลีกเลี่ยง ได้แก่ Whey, Casein, Caseinate, Lactulose, Buttermilk และ Artificial Butter Flavoring (กลิ่นเนยสังเคราะห์)
2. พฤติกรรมบางอย่างเปลี่ยนไป
เด็กบางคนดูจะแสดงการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมในเชิงลบ หลังรับประทานอาหารบางอย่างที่อาจก่อให้เกิดอาการแพ้ เช่น กลูเต็น สีผสมอาหาร หรือผลิตภัณฑ์จากนม
หากคุณสังเกตเห็นว่า ทุกครั้งที่ลูกกินอาหารที่มีสีผสมอาหาร แล้วแสดงอาการหงุดหงิดหรือก้าวร้าว อาจเป็นไปได้ว่าร่างกายของเขากำลังทำปฏิกิริยาต่อต้านกับสีผสมอาหารนั้นๆ เนื่องจากปัจจุบันมีสีผสมอาหารหลายชนิด ที่อาจมาจากสัตว์และเด็กอาจแพ้ได้ (อ่านเพิ่มเติมที่ NEWS UPDATE: ไม่แน่ว่าคุณอาจกินแมลงมาตลอดชีวิตแล้วก็ได้)
โดยลองทดสอบด้วยการตัดสีผสมอาหารทั้งหมดออกจากอาหารของลูก และเลือกใช้เฉพาะสีผสมอาหารที่ผลิตจากพืชเท่านั้น ซึ่งปัจจุบันหาซื้อได้ง่ายขึ้น เพราะหลายบริษัทได้ผลิตขนมหวาน allergy-friendly แบบที่เป็นมิตรสำหรับเด็กที่แพ้อาหารแล้ว
วิธีสังเกตผลิตภัณฑ์จากสีผสมอาหารที่ลูกอาจแพ้:
ชื่อสามัญบางส่วนสำหรับสีผสมอาหารที่คุณพ่อคุณแม่อ่านฉลากแล้วอาจต้องหลีกเลี่ยง ได้แก่ Natural Red Four, Crimson Lake หรือเลขรหัส E120
3. อาการหอบหืดกำเริบ
น้อยคนที่จะรู้ว่าปฏิกิริยาของการแพ้สารกันบูดนั้น อาจแสดงออกในรูปแบบของอาการหอบหืดได้ ซึ่งสารเคมีชนิดนี้สามารถเกิดขึ้นได้เองตามธรรมชาติ หรือถูกเติมลงในอาหารแปรรูปจำนวนมาก เช่น มันฝรั่งทอด ผลไม้แห้ง และขนมอบ
หากคุณพบว่าลูกเหมือนจะหายใจดังครืดคราด หรือเริ่มไอหลังจากกินขนมขบเคี้ยวละก็ คุณพ่อคุณแม่อาจต้องเอารายชื่อส่วนผสมอาหารมาดูอีกครั้ง
อาการหอบหืดส่วนใหญ่จะเริ่มด้วยความรู้สึกอึดอัดที่ช่องอก จากนั้นเสียงหายใจจะดังครืดคราดและหายใจถี่ ตามด้วยอาการไอ ดังนั้น เมื่อไหร่ก็ตามที่ลูกหายใจลำบาก ควรปรึกษาแพทย์ทันที เพราะการแพ้ลักษณะนี้อาจอันตรายถึงชีวิต
วิธีสังเกตชื่อสารกันบูดที่ลูกอาจแพ้:
ชื่อสามัญสำหรับสารกันบูด ที่คุณพ่อคุณแม่อ่านฉลากแล้วอาจต้องหลีกเลี่ยง ได้แก่ Sulfur Dioxide, Potassium Bisulfate, Potassium Metabisulfite และ Sodium Sulfite
4. ปวดหัว
เด็กบางคนจะแสดงอาการปวดหัว หากแพ้อาหารชนิดนั้นๆ เพราะร่างกายพยายามต่อต้านและขับมันออก เพราะฉะนั้น มองข้ามลักษณะอาการปวดหัวของลูกว่าเกิดขึ้นเมื่อไหร่ และมีอาการอย่างไร เพราะหลายครั้งที่อาการปวดหัวในเด็กเล็ก มักมาจากการแพ้อาหาร ซึ่งอาจรวมไปถึงฝุ่นผงของถั่วลิสงหรือถั่วอื่นๆ ที่คุณพ่อคุณแม่อาจต้องสังเกตให้ดีด้วย
5. เมื่อยล้าหรือยังคงรู้สึกหิวกระหาย
อาหารควรให้พลังงานที่เพียงพอ และเข้าไปบำรุงร่างกาย แต่ถ้ามื้อไหนที่ลูกกินเข้าไปแล้วกลับรู้สึกอ่อนเพลีย เมื่อยล้า ไม่มีแรง หรือยังคงหิวอยู่ นั่นแปลว่านอกจากร่างกายของเขาจะไม่สามารถย่อยและดูดซับสารอาหารเหล่านั้นได้อย่างเต็มที่แล้ว ยังต้องทำงานหนักขึ้น เพื่อขับสิ่งที่ร่างกายไม่ต้องการออกไปอีกด้วย
อย่าลืมกลับไปสังเกตอาการของลูกๆ เพื่อจะได้ป้องกันและดูแลกันต่อไป หรือลองอ่านเพิ่มเติมจากบทสัมภาษณ์ แม่ตั้ม—ศิระษา จังธรานนท์ แม่ที่ไม่ปล่อยให้ลูกที่แพ้ (อาหาร) ต้องดูแลตัวเอง เผื่อนำไปช่วยสังเกตอาการของลูกๆ ได้ค่ะ
NO COMMENT