ถึงแม้ความแตกต่างระหว่างวัย หรือ Generation Gap ระหว่างพ่อแม่และลูก จะเป็นเรื่องธรรมดาที่เกิดขึ้นมาทุกยุคสมัย แต่ยิ่งสังคมและเทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงเร็วขึ้นเท่าไหร่ ความแตกต่างระหว่างวัยก็กลายเป็นความท้าทายสำคัญในการเลี้ยงดูและทำความเข้าใจลูกมากขึ้น
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พ่อแม่ Gen X กับลูก Gen Z ความแตกต่างระหว่างคนสองเจเนเรชั่นนี้ นอกจากอายุที่ต่างกันแล้ว ยังรวมไปถึงมุมมอง วิธีคิด และการใช้ชีวิตภายใต้สังคมและเทคโนโลยี่ที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน เด็ก Gen Z เติบโตมาพร้อมกับอินเทอร์เน็ต สมาร์ตโฟน โซเชียลมีเดีย และคุ้นชินกับการเข้าถึงข้อมูลที่ต้องการอย่างรวดเร็ว คุ้นเคยกับการสื่อสารที่ไร้ระยะทาง ทำให้เด็กรุ่นใหม่มีชุดความคิดที่ทันโลก ทันเหตุการณ์ และค่านิยมแตกต่างจากคนรุ่นพ่อแม่อย่างเห็นได้ชัด เพราะ พ่อแม่ Gen X ส่วนใหญ่มักเติบโตมากับการเลี้ยงดูที่เข้มงวด มีกฎระเบียบเคร่งครัด เพิ่งมีการเข้าถึงข้อมูลและเทคโนโลยีในช่วงหลัง ทำให้อาจถูกมองว่าไม่ทันสมัย ไม่ทันโลก และปรับตัวตามเด็กรุ่นใหม่ได้ยาก
อย่างไรก็ตาม ความสัมพันธ์ระหว่างพ่อแม่เจนฯ เอ็กซ์และลูกเจนฯ ซีอาจจะดูเหมือนเป็นเรื่องท้าทายสำหรับหลายครอบครัว แต่ถ้าลองมองในแง่ดี นี่คือโอกาสที่ทั้งสองเจเนเรชั่นจะได้เรียนรู้และปรับตัวเพื่อเปิดรับข้อดีของทั้งสองช่วงวัยไปพร้อมกัน
1. เน้นสร้างความสัมพันธ์ที่เปิดกว้าง

เด็กเจนฯ ซีให้ความสำคัญกับการพูดคุยและการสื่อสารแบบตรงไปตรงมา พ่อแม่เจนฯ เอ็กซ์จึงควรหลีกเลี่ยงวิธีการเลี้ยงดูแบบควบคุม ใช้ความเข้มงวด หรือใช้คำสั่งกับลูกโดยไม่อธิบายเหตุผล แต่ลองเปลี่ยนมาเป็นการพูดคุยอย่างเท่าเทียม รับฟังความคิดเห็นลูกอย่างจริงจังและแสดงความสนใจในสิ่งที่ลูกพูด การใช้วิธีการพูดคุยแบบเพื่อนจะช่วยลดช่องว่างระหว่างวัย และทำให้ลูกกล้าที่จะเปิดใจกับพ่อแม่มากขึ้น
Dr. Jean Twenge นักจิตวิทยาผู้ศึกษาเรื่องตัวตนของเด็กเจนฯ ซี กล่าวไว้ในหนังสือ iGen ว่า เด็กเจนฯ นี้ เติบโตมาพร้อมกับเทคโนโลยีและการเชื่อมต่อตลอดเวลา การสื่อสารกับเด็กเจนฯ นี้จึงควรทำด้วยใจที่เปิดกว้าง และรับฟัง เพราะพวกเขาให้คุณค่ากับการมีพื้นที่ส่วนตัวและการแสดงออกถึงตัวตนมากกว่าคนรุ่นก่อน
นอกจากนี้ คุณพ่อคุณแม่ควรหลีกเลี่ยงการเปรียบเทียบระหว่างลูกกับตัวเองตอนอายุเท่ากัน เพราะจะทำให้ลูกยิ่งรู้สึกถึงความแตกต่างและอาจคิดว่าพ่อแม่ไม่มีทางเข้าใจเด็กรุ่นใหม่ได้
2. วางตัวเป็น ‘โค้ช’ ที่ดี

ลูกเจนฯ ซี ต้องการอิสระในการตัดสินใจและแสดงตัวตน ดังนั้น พ่อแม่เจนฯ เอ็กซ์ ควรสนับสนุนให้ลูกได้ลองตัดสินใจเรื่องที่เกี่ยวข้องกับลูกโดยตรง เช่น การเลือกกิจกรรม การตั้งเป้าหมาย หรือการจัดการชีวิตประจำวัน และคอยช่วยเหลือเมื่อจำเป็น คุณพ่อคุณแม่จึงไม่ควรทำตัวเป็นผู้ควบคุมหรือกำหนดขอบเขตในชีวิตลูก แต่เปลี่ยนเป็นการวางตัวเป็นโค้ช หรือที่ปรึกษาที่เข้าอกเข้าใจ จะช่วยให้ลูกได้เรียนรู้จากประสบการณ์ของตัวเอง ซึ่งถือเป็นจุดแข็งของเด็กเจนฯ ซีเลยก็ว่าได้
3. สุขภาพจิตคือเรื่องที่ต้องคุยกับลูก

Dr. Lisa Damour ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิตเด็กและวัยรุ่น ระบุว่า สุขภาพจิตกลายเป็นสิ่งที่วัยรุ่นยุคใหม่ให้ความสำคัญ การที่พ่อแม่สร้างพื้นที่ที่ปลอดภัยสำหรับลูกเพื่อพูดคุยปัญหา จะช่วยลดความกดดันและเพิ่มความไว้วางใจในครอบครัวมากขึ้น
งานวิจัยจาก Pew Research Center ในปี 2019 แสดงให้เห็นว่าลูกเจนฯ ซี มีแนวโน้มให้ความสำคัญกับสุขภาพจิตมากกว่ารุ่นก่อน โดย 70 เปอร์เซ็นต์ของวัยรุ่นเจนฯ ซี รายงานว่าปัญหาสุขภาพจิต เช่น ความวิตกกังวลและภาวะซึมเศร้า เป็นสิ่งที่พวกเขาและเพื่อนในรุ่นเผชิญเป็นประจำ งานวิจัยนี้สะท้อนให้เห็นว่าพ่อแม่เจนฯ เอ็กซ์ ควรใส่ใจสุขภาพจิตของลูกอย่างจริงจัง โดยไม่มองว่าเป็นเรื่องเล็กน้อยหรือปล่อยให้ลูกต้องจัดการปัญหาด้วยตัวเอง
คุณพ่อคุณแม่จึงควรหมั่นพยายามสังเกตอารมณ์และพฤติกรรมของลูก หากลูกมีความเครียดหรือวิตกกังวล ควรเปิดโอกาสให้ลูกพูดคุยถึงปัญหาโดยไม่ตัดสิน การสร้างสภาพแวดล้อมในบ้านให้ปลอดภัยและอบอุ่นจะช่วยให้ลูกกล้าบอกเล่าปัญหาให้ฟังมากขึ้น
4. ปรับตัวตามเทคโนโลยี

เทคโนโลยีเป็นส่วนสำคัญในชีวิตประจำวันของลูก ดังนั้น พ่อแม่เจนฯ เอ็กซ์อาจต้องเปิดใจเรียนรู้เกี่ยวกับเทคโนโลยีและแพลตฟอร์มที่ลูกใช้งาน เพราะการเข้าใจโลกของลูกจะช่วยให้สามารถตั้งกฎเกณฑ์ที่เหมาะสม เช่น การจำกัดเวลาใช้งาน หรือการแนะนำให้ใช้งานอย่างปลอดภัยโดยไม่รู้สึกว่าถูกจำกัดจนเกินไป การพูดคุยเรื่องอันตรายในโลกออนไลน์ เช่น การหลอกลวงหรือการกลั่นแกล้งทางออนไลน์ (Cyber bullying) จะช่วยให้ลูกตระหนักถึงความปลอดภัยและมีความรับผิดชอบในการใช้งานเทคโนโลยีมากยิ่งขึ้น
5. สนับสนุนให้ลูกมีความเป็นตัวเอง

เด็กเจนฯ ซี มักให้ความสำคัญกับการค้นหาตัวตนและการแสดงออกถึงความคิดสร้างสรรค์ พ่อแม่เจนฯ เอ็กซ์ ควรสนับสนุนสิ่งที่ลูกสนใจ เช่น การทำงานอดิเรก การเรียนรู้ในด้านที่ชอบ หรือการพัฒนาทักษะพิเศษ แม้สิ่งเหล่านี้อาจไม่ใช่สิ่งที่พ่อแม่คาดหวัง แต่การสนับสนุนอย่างเต็มที่จะแสดงให้ลูกเห็นว่าคุณพ่อคุณแม่ให้คุณค่ากับตัวตนและความสามารถของเขามากแค่ไหน
COMMENTS ARE OFF THIS POST