READING

คุยกับคุณแม่ไทยในต่างประเทศ ที่ไหนรับมือ #COVID19 ...

คุยกับคุณแม่ไทยในต่างประเทศ ที่ไหนรับมือ #COVID19 อย่างไรกันบ้าง (เยอรมนี)

วิกฤตการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ทำให้คุณพ่อคุณแม่แทบจะทั่วโลก ต่างต้องเผชิญสถานการณ์เดียวกัน คือ ลูกออกไปโรงเรียนไม่ได้ ตัวเองก็ออกไปทำงานก็ไม่ได้ เหตุการณ์ครั้งนี้ น่าจะทำให้พ่อแม่ทั่วโลกมีความรู้สึกร่วมกันคือ เงินก็ต้องหา งานก็ต้องทำ โรคก็ต้องหวั่นใจ เรื่องลูกก็ต้องรับมือ มีใครให้มากกว่านี้อีกไหม

M.O.M จึงไปลองถามไถ่คุณแม่ชาวไทยในประเทศต่างๆ ว่าเป็นอย่างไรกันบ้าง หนักหน่วงแค่ไหน รับมือไหวหรือเปล่า และได้รับความช่วยเหลือดูแลจากประเทศนั้นๆ อย่างไร เด็กๆ ได้รับผลกระทบแค่ไหน และที่สำคัญก็คือ คุณแม่ยังไหวไหม บอกมา…

และไม่ว่าจะอยู่มุมไหนของโลก M.O.M ก็ขอส่งกำลังใจให้คุณพ่อคุณแม่ทุกบ้าน มีเรี่ยวแรงที่จะรับมือกับทุกปัญหาที่เข้ามา มีพลังมากมายในการดูแลเด็กๆ และรักษาสุขภาพให้แข็งแรง เพื่อให้พวกเราทุกคนผ่านพ้นช่วงเวลาที่ยากลำบากแบบนี้ไปได้อย่างปลอดภัยทุกบ้านเลยค่ะ

germany_1

มิวนิค, เยอรมัน

แม่ตะเกียง
น้องเฟอร์ดินานด์ (5 ขวบครึ่ง) ลีโอโพลด์ (3 ขวบครึ่ง)

Q: สถานการณ์ตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง

ก่อนที่จะเริ่มมีการระบาดในเยอรมัน เป็นช่วงที่โควิด-19เริ่มระบาดหนักเเละมีคนเสียชีวิตที่อิตาลี ตอนนั้นตรงกับช่วง School holiday ของเยอรมันซึ่งเป็นช่วงที่คนเยอรมันส่วนใหญ่นิยมเดินทางไปเล่นสกีที่อิตาลี

ช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์ วันเเรกที่โรงเรียนอนุบาลเปิดหลังกลับมาจากฮอลิเดย์ เราถามครูที่โรงเรียนว่าเด็กๆ ที่ไปเที่ยวอิตาลีมาต้องกักตัวหรือเปล่า ครูยังขำ และถามอยู่เลยว่านี่พูดเอาจริงหรือพูดเอาฮา แล้วคุณครูก็ส่ายหัวเหมือนบอกว่าไม่ต้องกักตัว หลังจากนั้น 1-2 สัปดาห์ต่อมา เริ่มได้ยินข่าวว่าโรงเรียนบางเเห่งต้องประกาศปิดเพราะมีเด็กติดโควิด-19

ตัวเลขผู้ป่วยในเยอรมันเพิ่มขึ้นทุกวัน เพราะที่นี่มีความสามารถในการตรวจโควิดมากกว่าวันละ 50,000 เคส ต่อวัน (เเต่เราไม่แน่ใจว่าในทางปฏิบัติเขาตรวจไปวันละพี่เคส) ก็เลยทำให้ตัวเลขพุ่งทะยานตามไปด้วย พอเริ่มระบาดหนักก็มีคำสั่งปิดโรงเรียนและห้าง, ร้านอาหาร (ยกเว้นแบบ To go), ร้านค้าทั้งหลาย ยกเว้นร้านขายยาและซูเปอร์มาร์เก็ตยังเปิดให้บริการเหมือนเดิม และขยายเวลาปิดจากที่ตอนแรกถึงแค่วันที่ 4 เมษายน ขยายออกไปเป็นถึง 19 เมษายน

ที่นี่ออกกฎที่ค่อนข้างชัดเจนและเข้าใจง่าย เช่น ห้ามจัด ‘Corona party’ ในบ้าน, ห้ามออกไปเล่นที่สนามเด็กเล่น แต่ยังสามารถออกไปเดินเล่นสูดอากาศได้ เเต่ห้ามเกินสองคน และต้องทิ้งระยะห่างตามกำหนด ยกเว้นคนในครอบครัวที่อยู่ในบ้านเดียวกัน สามารถออกไปเดินเล่นพร้อมกันได้ หรือเวลาไปซื้อกับข้าวในซูเปอร์ฯ ไม่ควรเอาเด็กไปด้วยถ้าไม่จำเป็นจริงๆ

แต่คลีนิคหมอฟันต้องเปิดให้บริการเหมือนเดิม เพราะเป็นอาชีพที่จำเป็นต่อการรักษา เพราะตัวคุณแม่เองก็เพิ่งไปหาหมอฟันมาค่ะ

มาตรการของที่นี่อีกอย่างคือ ต่อให้เป็นคนในครอบครัวเดียวกัน เเต่อยู่บ้านคนละหลังกัน ก็ไม่สามารถไปมาหาสู่ได้นะ ห้ามพี่ไปหาน้อง หรือลูกไปหาแม่เเบบนี้ก็ห้ามเด็ดขาด

เยอรมันเพิ่งจะเริ่มตื่นตัวตอนที่อิตาลีวิกฤตแล้ว ซึ่งเราเข้าใจคนยุโรปนะว่าทำไมเขาตื่นตัวช้า ส่วนหนึ่งเพราะธรรมชาติของคนที่นี่ กับอีกส่วนหนึ่งคือปกติคนเยอรมันติดเชื้อไข้หวัดใหญ่ในช่วงหน้าหนาว (Influenza or Seasonal Flu) ปีละ 2-3 แสนคนต่อปี และเสียชีวิตเป็นหมื่นคนต่อปีอยู่แล้ว จึงไม่แปลกที่คนจะไม่ตื่นตัวในตอนแรก

แต่พอรัฐบาลประกาศปิดโรงเรียน ก็ทำให้คนรู้สึกว่า รัฐบาลเริ่มเอาจริงกับโควิดแล้ว ทุกคนก็เริ่มระวังตัวเองกันมากขึ้น

ส่วนตัวเราเอง เราตื่นตัวมาตั้งแต่จีนเริ่มปิดประเทศแล้ว พออิตาลีเริ่มมีคนติด เราก็เริ่มสะกิดสามีให้เริ่มตุนข้าวของ ตอนนั้นสามียังว่าเราไร้สาระ แต่เขาก็ทำตามนะ (ฮา) แต่ ณ ตอนนั้นเราก็ต้องออกจากบ้านไปทำงานเหมือนเดิม แต่ผู้คนเริ่มตื่นตัวกันมากขึ้น เริ่มใส่หน้ากากกันมากขึ้น หรือไม่ก็ใช้ผ้าพันคอพันหน้าเวลาออกนอกบ้าน

ข้าวของถือว่ายังพอหาได้อยู่ ช่วงแรกๆ ทิชชูขาดตลาด แต่ตอนนี้เปลี่ยนเป็นยีสต์สำหรับทำขนมปังที่ขาดตลาดแทน หน้ากากอนามันราคาแพงเหมือนที่เมืองไทย ส่วนเจลแอลกอฮอลล์ยังพอหาได้ถ้าไปถูกเวลา (ฮา) เพราะยังมีวางขายในร้านขายยาค่ะ ส่วนร้านขายของเอเชียยังมีของครบ อาจจะมีผักสดที่ขาดไปบ้าง ก็ถือว่ายังมีของกินอุดมสมบูรณ์อยู่ค่ะ

germany_3

Q: รัฐช่วยเหลืออะไรบ้างไหม

รัฐบาลเท่าที่เห็นก็คือช่วยเต็มที่เลย อัดฉีดเงินเยอะมาก เพราะตอนนี้เศรษฐกิจเหมือนถูกฟรีซเอาไว้ สำหรับคนที่ไม่สามารถไปทำงานได้เพราะโดนปิดแบบเรา หรือว่า ทำงานที่บ้านไม่ได้ ทางบริษัทก็ต้องทำ Kurzarbeit ให้กับลูกจ้าง (เป็นชื่อโครงการการทำงานระยะสั้น เพื่อป้องกันการต้องเลย์ออฟพนักงานออก) รัฐบาลจะจ่ายเงินจากฐานเงินเดือนเดิมเป็นจำนวน 60% ให้กับคนที่ต้องอยู่บ้าน และ 64-67% สำหรับครอบครัวที่มีบุตร เเละสำหรับผู้ประกอบการ คนที่เช่าที่อยู่อาศัยที่ได้รับผลกระทบ ก็สามารถเลื่อนเวลาการจ่ายค่าเช่าที่ได้ เเละห้ามไล่ผู้เช่าออกเด็ดขาด แต่เราก็ไม่แน่ใจว่ารัฐจะสามารถทำแบบนี้ได้นานแค่ไหน เพราะมันก็ใช้เงินจำนวนมหาศาลอยู่

germany_2

Q: เด็กๆ ได้รับผลกระทบอย่างไรบ้าง 

โรงเรียนปิด 5 สัปดาห์ค่ะ เเละคาดว่าคงเลื่อนการเปิดออกไปอีก ด้วยความที่ลูกๆ ยังอยู่อนุบาลอยู่เลยไม่ได้มีกิจกรรมจากทางโรงเรียน แต่โรงเรียนอนุบาลบางแห่งจะทำ live stream บนเฟซบุ๊ก ให้เด็กเล็กได้ร่วมกิจกรรมกันสั้นๆ ประมาณ 20 นาที เราก็เข้าไปร่วมได้

ทั้งนี้ทั้งนั้นอนุบาลและโรงเรียนจะยังเปิดไว้ให้สำหรับผู้ปกครองที่จำเป็นต้องไปทำงาน เช่น บุคลากรในโรงพยาล, พนักงานในซูเปอร์มาร์เก็ต, นักดับเพลิง, ตำรวจ สามารถพาเด็กไปโรงเรียนได้ค่ะ แต่ต้องกรอกแบบฟอร์มรึเปล่าอันนี้เเม่ไม่แน่ใจ ส่วนเด็กประถมขึ้นไป คุณครูจะสอนออนไลน์ มีตารางเรียน มีการบ้าน คุยกับเพื่อนบ้านที่มีลูกอยู่ประถม เขาบอกว่า they have enough to do! คือเรียนหนักเหมือนเดิม (ฮา)

Q: เด็กๆ ที่บ้านมีความเข้าใจในสถานการณ์ตอนนี้อย่างไรบ้าง

 เด็กๆ เข้าใจว่าตอนนี้มีโรคชื่อ Corona ทำให้ทุกคนต้องอยู่บ้าน เราก็พยายามอธิบายให้ลูกฟัง ตามความเป็นจริง ว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมเราถึงออกไปสนามเด็กเล่นไม่ได้ เเละที่สนามเด็กเล่นก็มีป้ายเเขวนบอกไว้ว่าห้ามเล่นเพราะมีการเเพร่ระบาดของโคโรนาไวรัส เราก็พาลูกไปดูนะ เขาจะได้เห็นเเละเชื่อว่าส่ิงที่เราพูดมันจริง แม่ไม่ได้โม้

เราก็บอกลูกให้อยู่ห่างผู้สูงอายุไว้ เพราะเราอาจมีเชื้อเเต่ไม่ออกอาการ อาจเอาไปติดคนเเก่ได้ มีครั้งหนึ่งเราออกไปเดินเล่นนอกบ้าน เเล้วเจอคนแก่จะเดินสวนกับเรา ก็ให้ลูกข้ามไปอีกฝั่งถนนเลยเพื่อความมั่นใจ คนเเก่ก็ตะโกนข้ามฝั่งมาว่า danke (ขอบคุณ) เพราะเราข้ามไปอีกฝั่ง เพื่อที่เขาจะได้ไม่ต้องเดินสวนใกล้เราจนเกินไป อะไรเหล่านี้เด็กๆ เขาเข้าใจดีเลย

เวลาออกไปเดินเล่นนอกบ้านเด็กๆ ก็จะเชื่อฟังเป็นพิเศษ เพราะเหมือนเขาก็รู้สึกได้ว่ามีบางอย่างที่ไม่ปกติในเวลาเเบบนี้

germany_4

Q: ในช่วงที่อยู่บ้านกับลูกแบบนี้ ในแต่ละวัน คุณแม่กับเด็กๆ ทำอะไรกันบ้าง  

พอโรงเรียนอนุบาลสั่งปิดปุ๊ป เราก็ต้องเริ่มคิดแล้วว่าต้องเตรียมกิจกรรมอะไรให้ลูกบ้าง เริ่มต้นด้วยการสั่งของที่เป็น Family Games หรือ Puzzles และสีวาดรูปที่วาดบนไม้บนหินได้ เพื่อให้เขามีกิจกรรมใหม่ๆ ทำบ้าง สั่งมา 2-3 อย่าง แล้วค่อยๆ ปล่อยของออกมาอย่างช้าเพื่อให้ลูกได้มีกิจกรรมทำไปนานๆ

อย่างตัวเรา ด้วยงานไม่สามารถ Work from home ได้ เมื่อทุกอย่างปิด เราก็เลยพอจะมีเวลามากกว่าแม่ๆ ที่ต้องทำงานที่บ้านอยู่พอสมควร แต่สามียังต้องออกไปทำงานทุกวัน มันจึงหนักสำหรับเรามาก จากเดิมที่เคยชินกับการส่งลูกสองคนไปโรงเรียนทุกวันมาเป็นปี เเล้วตัวเราก็ออกไปทำงานนอกบ้าน มันยากตรงที่ว่าเราจัดการความรู้สึกของเรายังไงไม่ให้ ประสาทเสียไปซะก่อน เพราะเองเราก็ต้องมีเวลาแบ่งให้ตัวเองด้วยเหมือนกัน

เอาจริงๆ การระงับอารมณ์ไม่ทะเลาะกับลูกมันยากนะ เพราะด้วยความที่เราเป็นคนอารมณ์ร้อนโดยพื้นฐาน เราก็ทำเป็นไม่ได้ยินเสียงลูกเล่นกันดังๆ บ้าง มันเวิร์กนะเเละทำให้เราสามารถทนฟังเสียงวิ่งรอบบ้าน เสียงตะโกนของลูกเวลาเล่นกันอย่างดังได้เก่งขึ้นมาก (ฮา)

เราจะให้ลูกมีเวลาส่วนตัวตอนเช้า เเล้วแม่ขอมีเวลาส่วนตัวเหมือนกันตอนบ่าย ประมาณ 30-45 นาทีเหมือนสอนให้เขาเคารพสิทธิ์ของเรานิดนึง ซึ่งอันนี้ลูกทำได้ดีเลยทีเดียว เราก็เอาเวลานี้ไปทำงานบ้านบ้าง เก็บห้องลูกบ้าง ได้คุยกับเพื่อนๆ บ้าง เเล้วเราก็จะปล่อยให้เด็กๆ เล่นกันเองโดยที่เราออกมาอยู่อีกห้องนึง

อีกเรื่องนึงคือเราพลิกเวลานี้ให้เป็นโอกาส  เพราะปกติเราจะเตรียมเสื้อผ้าให้ลูกชายทั้งสองคน และบ่อยครั้งที่ต้องรีบเเต่งตัวให้ เพราะเเม่มีเวลาน้อย พออยู่บ้านทั้งวันเราก็มีเวลาเยอะ ก็จะให้ลูกไปเลือกเสื้อผ้ามาใส่เอง ซึ่งลูกก็รู้สึกดีที่เขาได้รับมอบหมายหน้าที่ใหม่ แล้วเราก็บอกให้พี่ช่วยน้องเเต่งตัวด้วย เเค่นี้ก็ฆ่าเวลาไปได้เเล้วเกือบชั่วโมง เพราะลูกหายเข้าไปเล่นกันเองในห้องนอน ทำให้เเม่มีเวลาไปทำอย่างอื่นมากขึ้นไปอีก

อีกข้อดีของการเป็นแม่ลูกสอง คือเด็กๆ สามารถเล่นกันเองได้ ในช่วงเช้าจะเล่นกันดีมากโดยไม่ต้องกวนแม่เลย เด็กๆ สามารถหากิจกรรมเล่นกันเองส่วนใหญ่ เช่น ตัวต่อไม้, เปิดนิทานที่เป็นแบบออดิโอบุ๊กฟังกันเอง หรือต่อรางรถไฟกันเองโดยที่เราไม่ต้องเข้าไปช่วยอะไร

เเต่ถ้าเมื่อไหร่ที่ลูกเริ่มเบื่อ หงุดหงิด หรือทะเลาะกันเอง แม่ก็จะเข้าไปมีบทบาทมากขึ้น เข้าไปชวนเล่นอย่างอื่นที่ต้องใช้เเม่เป็นจุดศูนย์กลางด้วย เพื่อช่วยปรับอารมณ์เขาให้ลงมาบ้าง หรืออาจให้พักดูทีวีหน่อย แต่มีเวลากำหนดที่เเน่นอนว่าดูได้กี่ตอนต่อวัน เพราะก่อนวิกฤตโควิดลูกจะได้ดูเเค่วันศุกร์ถึงวันอาทิตย์ ตั้งเเต่โรงเรียนหยุดก็จะได้ดูเกือบทุกวันเลย ก็เป็นสิ่งที่เราต้องยอมผ่อนผันบ้างเล็กน้อย

germany_5

Nidnok

‘นิดนก’ เป็นคุณแม่ของน้อง ณนญ / เป็นนักเขียนสาวเชิงรุก เจ้าของผลงานหนังสือ 'POWER BRIDE เจ้าสาวที่กลัวสวย' และ 'TO BE CONTINUE- โปรดติดตามตอนแต่งไป'

RELATED POST

COMMENTS ARE OFF THIS POST