เดนมาร์ก เป็นประเทศที่ได้ขึ้นชื่อว่ามีประชาชนที่มีมีความสุขมากที่สุดประเทศหนึ่งในโลก เพราะคนเดนมาร์กจะได้รับสวัสดิการและการดูแลให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีจากรัฐบาล
เด็กชาวเดนมาร์กจะได้รับทุนการศึกษาจากรัฐบาลตั้งแต่ชั้นประถมจนถึงระดับมหาวิทยาลัย มีเงินให้ใช้ระหว่างเรียนเพราะรัฐบาลเชื่อว่าการลงทุนให้การศึกษา จะทำให้ประชากรในประเทศเป็นคนที่มีคุณภาพ
พ่อแม่ชาวเดนมาร์กจึงเลี้ยงดูลูกด้วยความสุข เด็กที่ได้รับการเลี้ยงดูให้มีความสุข จึงเติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ที่มีความสุขต่อไป
โรงเรียนในประเทศเดนมาร์ก ได้เพิ่มวิชา ‘Empathy’ หรือวิชาที่สอนให้รู้จักเข้าใจและเห็นใจผู้อื่นให้กับเด็กนักเรียนอายุตั้งแต่ 6-16 ปี เป็นเวลา 1 ชั่วโมงต่อสัปดาห์
คลาสนี้มีชื่อเรียกว่า ‘Klassens tid’ เด็กๆ จะได้พูดคุยปัญหาที่พวกเขาเจอในชีวิตประจำวันให้คุณครูและเพื่อนร่วมชั้นได้ฟัง และให้ทุกคนช่วยกันหาทางแก้ไขแต่การแก้ปัญหานั้นต้องอยู่บนพื้นฐานของความเข้าใจ สิ่งนี้จะช่วยหล่อหลอมให้เด็กๆ มีจิตใจโอบอ้อมโอ้มอารี มีความเห็นใจผู้อื่นมากขึ้น ทั้งนี้เพื่อช่วยป้องกันความรุนแรงที่อาจเกิดขึ้นจากการกลั่นแกล้ง (Bullying) ภายในโรงเรียนอีกด้วย
ถึงแม้ประเทศไทยจะไม่ได้ระบุให้ Empathy เป็นวิชาเรียนในโรงเรียน แต่ความเห็นอกเห็นใจผู้อื่น ก็เป็นคุณสมบัติที่คุณพ่อคุณแม่ทุกคนสามารถสอนให้ลูกน้อยเรียนรู้ได้ด้วยตัวเอง
1. เป็นตัวอย่างให้ลูกเห็น
การสอนที่ดีที่สุดคือการเป็นแบบอย่างที่ดีให้ลูกเห็น เพื่อให้ลูกซึมซับพฤติกรรมหรือสิ่งที่ควรทำด้วยตัวเองเช่น เมื่อลูกล้มคุณพ่อคุณแม่ควรให้ความช่วยเหลืออย่างห่วงใย ประคอง รับฟัง และให้กำลังใจ แทนที่จะตำหนิว่าเป็นความผิดของลูก
2. อย่าละเลยความรู้สึกของลูก
วัยเด็กเป็นวัยที่ยังไม่สามารถเข้าใจและควบคุมอารมณ์ของตัวเองได้ โดยเฉพาะเด็กในช่วงอายุ 4-6 ปี ไม่ควรถูกปล่อยให้รู้สึกโดดเดี่ยวหรือคิดว่าตัวเองถูกทอดทิ้ง ดังนั้น เมื่อลูกมีปัญหาหรือต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่ยากลำบาก คุณพ่อคุณแม่ควรถามไถ่ด้วยความเป็นห่วง รับฟัง และแสดงออกว่าพร้อมที่จะให้ความช่วยเหลือเขาเสมอ
3. สอนให้ลูกมีความรับผิดชอบ
การมอบหมายหน้าที่รับผิดชอบให้กับลูก เช่น ให้ลูกได้ช่วยในการทำงานบ้าน ดูแลสัตว์เลี้ยง รดน้ำต้นไม้ทำให้ลูกมีแนวโน้มจะเป็นเด็กที่มีความรับผิดชอบต่อตัวเองและส่วนรวม และเห็นใจผู้อื่นมากขึ้น
4. ไม่จำเป็นต้องรีบแก้ปัญหาให้ลูกทุกเรื่อง
คุณพ่อคุณแม่อาจจะเข้าใจว่าเมื่อลูกมีปัญหา ก็จำเป็นต้องรีบให้ความชั่วเหลือทันที แต่ที่จริงแล้ว ควรเปิดโอกาสให้ลูกได้ลองแก้ปัญหาด้วยตัวเองก่อน หรือใช้วิธีช่วยทางอ้อม เช่น ถ้าลูกผูกเชือกรองเท้าไม่เป็น แทนที่คุณพ่อคุณแม่จะต้องช่วยผูกให้ทุกครั้ง ลองช่วยเหลือด้วยการผูกเชือกรองเท้าของตัวเองให้ดูเป็นตัวอย่าง หรือให้ทำไปพร้อมๆ กัน จะทำให้ลูกเรียนรู้วิธีการช่วยคนอื่นแก้ปัญหา มองเห็นความสามารถของตัวเอง และมีความมั่นใจในตัวเองมากขึ้น
5. สอนให้ลูกรู้ว่าเราเหมือนหรือแตกต่างกับคนอื่นอย่างไร
คุณพ่อคุณแม่ควรสอนให้ลูกรู้จักและเข้าใจว่ามนุษย์ทุกคนมีความต่าง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเพศ เชื้อชาติ ศาสนา รูปร่าง หรือสีผิว เพื่อให้ลูกรู้จักการนึกถึงใจเขาใจเรามากกว่าการมองเห็นความแตกต่างภายนอก
6. สอนให้ลูกช่วยเหลือผู้อื่นด้วยความจริงใจ
คุณพ่อคุณแม่ควรปลูกฝังให้ลูกมีน้ำใจและช่วยเหลือผู้อื่นโดยไม่หวังสิ่งตอบแทน โดยเริ่มจากสิ่งเล็กน้อยที่ลูกสามารถทำได้ง่ายๆ เช่น แบ่งขนมให้เพื่อน ช่วยคุณพ่อคุณแม่ทำงานบ้านเล็กๆ น้อยๆ
เพียงคุณพ่อคุณแม่นำหลักการของวิชา Empathy มาปรับใช้และสอนลูกในชีวิตประจำวัน ก็ช่วยส่งเสริมให้ลูกมีลักษณะนิสัยเข้าใจและเห็นใจผู้อื่น เพื่อเติบโตขึ้นมาอย่างมีความสุขมากขึ้นได้แล้ว
COMMENTS ARE OFF THIS POST