ในการเลี้ยงลูก บางครั้งคุณพ่อคุณแม่ก็พยายามปล่อยให้ลูกได้คิดได้ทำอะไรตามใจ อยากให้อิสระ แต่บางครั้งก็จำเป็นต้องตั้งกฎและเข้มงวด เพื่อประคับประคองให้ลูกเดินอยู่ในเส้นทางที่เหมาะสม
แต่การสร้างสมดุลระหว่างการให้ความรักและอิสระแต่ต้องให้ลูกรักษาระเบียบวินัยไปด้วยให้ไม่ใช่เรื่องง่าย ถ้าคุณพ่อคุณแม่เริ่มเอนเอียงไปในทางผ่อนปรนมากจนไม่มีกรอบชัดเจน นั่นคือสัญญาณเริ่มต้นของการ เลี้ยงลูกแบบแมงกะพรุน หมายถึงมีรูปแบบที่อ่อนโยนแต่ขาดโครงสร้างที่มั่นคงนั่นเอง
การ เลี้ยงลูกแบบแมงกะพรุน หรือ Jellyfish Parenting หมายถึงการเลี้ยงดูที่เน้นความรัก ความเข้าใจ และยืดหยุ่นกับลูกจนขาดกฎเกณฑ์หรือขอบเขตที่ชัดเจน พ่อแม่ที่เลี้ยงลูกด้วยวิธีนี้ มักมองว่าความสัมพันธ์ที่อบอุ่นและการให้อิสระกับลูกคือสิ่งสำคัญที่สุด จนหลงลืมความสำคัญของกฎเกณฑ์และระเบียบวินัยในการใช้ชีวิตได้
รูปแบบการเลี้ยงดูของคุณพ่อคุณแม่มีผลต่อพฤติกรรมและพัฒนาการของลูกในระยะยาว ลองมาสำรวจพฤติกรรมและการเลี้ยงดูของตัวเองว่ามี 5 สัญญาณของการพ่อแม่แบบแมงกะพรุนหรือไม่ เพื่อหาทางปรับปรุงและแก้ไขกันต่อไปค่ะ
1. หลีกเลี่ยงความขัดแย้งกับลูกเสมอ

หากคุณพ่อคุณแม่มักหลีกเลี่ยงการปะทะหรือโต้เถียงกับลูก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กหรือใหญ่ เพราะกลัวว่าลูกจะโกรธหรือเสียใจ จนกลายเป็นพ่อแม่ที่ไม่อยากพูดอยากเตือน หรือสร้างความขัดแย้งกับลูก
แม้การเลี่ยงนั้นอาจช่วยรักษาความสัมพันธ์ในระยะสั้น แต่ในระยะยาว ลูกอาจไม่เรียนรู้วิธีจัดการกับความขัดแย้ง ไม่รู้จักแก้ไข และปรับปรุงตัว เพราะชีวิตจริง การสอนให้ลูกเข้าใจและแก้ปัญหาด้วยการพูดคุยอย่างตรงไปตรงมาและสร้างสรรค์จึงเป็นสิ่งสำคัญกว่า
2. ไม่มีการตั้งกฎเกณฑ์ที่ชัดเจน

การเลี้ยงดูที่ไม่มีกรอบและกฎเกณฑ์ชัดเจน หรือเคยบอกลูกว่าจะลงโทษเมื่อทำผิด เแต่สุดท้ายก็เป็นคนละเลย และยอมให้ลูกฝ่าฝืนข้อตกลงเสียเอง พฤติกรรมนี้นี้จะทำให้ลูกมองว่าคำพูดของคุณพ่อคุณแม่ไม่น่าเชื่อถือและไม่จำเป็นต้องปฏิบัติตาม ซึ่งส่งผลต่อบทบาทการเลี้ยงดูของคุณพ่อคุณแม่ในระยะยาวได้
3. พยายามตอบสนองความต้องการของลูกมากเกินไป

หากคุณพ่อคุณแม่พยายามทำให้ลูกพอใจ ด้วยการตอบสนองความต้องการของลูกทุกอย่าง และตอบสนองทันทีที่ลูกขอ เช่น ซื้อของเล่นใหม่ให้ทุกครั้งที่ลูกต้องการ หรือยอมให้ลูกกินขนมตลอดเวลา หรือกินก่อนมื้ออาหาร อาจทำให้ลูกรู้สึกว่าได้ทุกอย่างมาโดยง่าย ไม่ได้เรียนรู้ถึงข้อตกลง และคุณค่าของสิ่งที่ได้รับ
ในทางกลับกัน การสอนให้ลูกรู้จักอดทนรอคอยและยอมรับความผิดหวังเมื่อไม่ได้สิ่งที่ต้องการบ้าง จะเป็นบทเรียนสำคัญที่ช่วยให้ลูกพัฒนาทักษะการควบคุมอารมณ์ต่อไป
4. ไม่กล้าปฏิเสธลูก

หากคุณพ่อคุณแม่รู้สึกผิดเมื่อจำเป็นต้องปฏิเสธลูก เช่น ไม่ซื้อของเล่นใหม่ให้ ไม่อนุญาตให้กินขนมก่อนมื้ออาหาร ทั้งที่เป็นการปฏิเสธที่มีเหตุผล แต่กลับรู้สึกไม่ดีเพราะกลัวว่าจะทำให้ลูกเสียใจ สิ่งนี้จะทำให้ลูกเข้าใจว่า เมื่อร้องขออะไรแล้ว คุณพ่อคุณแม่จะต้องยินยอม สร้างนิสัยให้ลูกเอาตัวเองเป็นศูนย์กลางของทุกอย่าง เอาแต่ใจ และกลายเป็นคนไม่ยอมรับฟังความคิดเห็นของคนอื่นต่อไปได้
5. ให้ความสำคัญกับอิสระของลูกมากเกินไป

แม้ว่าการให้อิสระกับลูกจะช่วยส่งเสริมทักษะและการเรียนรู้ที่จำเป็นต่อการเติบโต แต่หากลูกได้รับอิสระ โดยไม่มีการแนะนำหรือแนวทางที่ชัดเจน อาจทำให้ลูกตัดสินใจเลือกเส้นทางที่ไม่เหมาะสม เพราะขาดการยั้งคิด หรือพิจารณาให้รอบคอบ
แต่การให้อิสระอย่างเหมาะสม โดยมีการให้คำแนะนำและการสนับสนุนจากคุณพ่อคุณแม่ เช่น การให้ลูกเลือกกิจกรรมเสริมที่สนใจด้วยตัวเอง โดยมีคุณพ่อคุณแม่ช่วยส่งเสริมและติดตามผล แบบนี้จะส่งผลดีกับลูกมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม การเลี้ยงลูกด้วยความรักและให้อิสระไม่ใช่เรื่องผิด แต่หากคุณพ่อคุณแม่ยืดหยุ่นจนกลายเป็นการเลี้ยงดูที่ขาดกฎเกณฑ์ ก็อาจทำให้ลูกขาดทักษะที่สำคัญในชีวิต เช่น ความรับผิดชอบ การยอมรับความผิดหวัง และการเคารพกฎและข้อตกลงในสังคม
ดังนั้น การหาสมดุลระหว่างความรัก ความยืดหยุ่น และการมีกฎเกณฑ์ที่เหมาะสมจะช่วยให้ลูกเติบโตอย่างมีคุณภาพมากขึ้นนะคะ
COMMENTS ARE OFF THIS POST