รายงานจากองค์การอนามัยโลก (WHO) ชี้ว่าโรคระบบทางเดินหายใจในเด็กมีอัตราสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มโรคปอดและหลอดลมอักเสบ ซึ่งถือเป็นสัญญาณเตือนสำคัญสำหรับคุณพ่อคุณแม่ทั่วโลก
ปัจจัยหลักที่ทำให้สถานการณ์ของ โรคปอดในเด็ก น่าเป็นห่วงขึ้น เกิดจากหลายสาเหตุ ดังต่อไปนี้
• มลภาวะทางอากาศที่รุนแรงขึ้น โดยเฉพาะฝุ่น PM2.5 ที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อปอดที่ยังบอบบางของเด็กเล็ก
• การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสชนิดต่างๆ เช่น RSV, ไข้หวัดใหญ่ หรือโควิด-19 ที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและต่อเนื่องในสังคมปัจจุบัน
• ระบบภูมิคุ้มกันของเด็กที่ยังไม่แข็งแรง จึงต่อสู่กับเชื้อโรคได้ไม่เต็มที่ นำไปสู่การเป็นภาวะภูมิแพ้มากขึ้นด้วย
• อุณหภูมิอากาศที่ผันผวน หรือฤดูฝนที่ยาวนาน อาจทำให้ระบบทางเดินหายใจของเด็กปรับตัวไม่ทันและติดเชื้อได้ง่าย
การดูแลและป้องกันลูกน้อยให้ห่างไกลจากความเสี่ยงของ โรคปอดในเด็ก ที่กำลังพุ่งสูงขึ้น จึงเป็นเรื่องที่คุณพ่อคุณแม่ต้องหันมาให้ความสนใจมากขึ้น
แล้วคุณพ่อคุณแม่จะดูแลลูกน้อยอย่างไรให้ปอดแข็งแรง ห่างไกลจากความเสี่ยงเหล่านี้ มาดูแนวทางปฏิบัติที่เรานำมาฝากกันค่ะ
1. ปกป้องลูกจากอากาศพิษและสารก่อภูมิแพ้

ฝุ่น PM2.5 และมลภาวะทางอากาศเป็นภัยร้ายกับคนทุกวัน โดยเฉพาะเด็กเล็กที่ปอดและระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายยังบอบบาง คุณพ่อคุณแม่ควร หลีกเลี่ยงการพาลูกออกนอกบ้านเมื่อค่าฝุ่นในอากาศอยู่ในเกณฑ์ไม่ปลอดภัย หรือสวมหน้ากากอนามัยที่ป้องกันฝุ่นละออง PM2.5 ควบคุมสารก่อภูมิแพ้ในบ้าน เช่น ไรฝุ่น ควันบุหรี่ และใช้เครื่องฟอกอากาศ เพื่อลดการระคายเคืองทางเดินหายใจของลูก
2. เสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้ลูก

ภูมิคุ้มกันที่แข็งแรงคือปราการด่านแรกในการปกป้องลูกจากเชื้อโรค คุณแม่ควรสนับสนุนให้ลูกกินอาหารครบ 5 หมู่ โดยเฉพาะผักผลไม้ที่มีวิตามินสูง ดื่มน้ำให้เพียงพอ นอนหลับพักผ่อนอย่างมีคุณภาพ และออกกำลังกายสม่ำเสมอ เพื่อให้ร่างกายและปอดแข็งแรง พร้อมรับมือกับเชื้อโรคต่างๆ
3. ฉีดวัคซีนป้องกันโรคอย่างครบถ้วน

วัคซีนเป็นสิ่งสำคัญในการป้องกันโรคทางเดินหายใจรุนแรง คุณพ่อคุณแม่ควรพาลูกไป ฉีดวัคซีนตามวัยที่กำหนด และพิจารณาวัคซีนเสริม ที่ช่วยป้องกันโรคที่พบบ่อยในเด็ก เช่น วัคซีนไข้หวัดใหญ่ และ วัคซีน IPD ป้องกันโรคปอดอักเสบในเด็กเล็ก
4. สอนวินัยด้านการดูแลสุขอนามัยให้ลูก

สุขอนามัยที่ดีช่วยป้องกันการแพร่เชื้อโรคได้อย่างง่ายๆ คุณพ่อคุณแม่ควรสอนให้ลูกล้างมือบ่อยๆ ด้วยสบู่ หรือเจลแอลกอฮอล์ โดยเฉพาะหลังไอ จาม ก่อนรับประทานอาหาร และหลังเข้าห้องน้ำ รวมถึงการปิดปากปิดจมูกเวลาจาม ไม่สัมผัสใบหน้า โดยเฉพาะการนำมือไปสัมผัสตา จมูก และปากโดยไม่จำเป็น
5. หากมีอาการผิดปกติควรปรึกษาแพทย์ทันที

คุณพ่อคุณแม่ควรสังเกตอาการลูกอย่างใกล้ชิด หากพบสัญญาณผิดปกติ เช่น ไอเรื้อรัง ไข้สูง หายใจเหนื่อย หอบ ควรรีบพาไปพบแพทย์ เพื่อวินิจฉัยและรักษาอย่างทันท่วงที และไม่ควรซื้อยาให้ลูกทานเอง โดยไม่ปรึกษาแพทย์ โดยเฉพาะยาปฏิชีวนะ เพื่อความปลอดภัยของลูก

COMMENTS ARE OFF THIS POST