วัฒนธรรมญี่ปุ่นมีปรัชญาหนึ่งที่น่าสนใจ เรียกว่า ‘มะ’ (間) ซึ่งหมายถึง ช่องว่าง หรือพื้นที่ระหว่างสิ่งต่างๆ ยกตัวอย่างให้เข้าใจง่ายๆ เช่น ในดนตรี ‘มะ’ คือช่วงเงียบที่ทำให้ท่วงทำนองมีพลัง หรีอในด้านสถาปัตยกรรม ‘มะ’ คือการออกแบบพื้นที่ว่างที่เชื่อมโยงผู้คนกับธรรมชาตินั่นเอง
ปรัชญานี้ยังสามารถพัฒนาเป็นวิธีการ เลี้ยงลูกแบบ ‘มะ’ ซึ่งหมายถึงการมองเห็นคุณค่าของช่องว่างและจังหวะของชีวิต เพื่อสร้างสมดุลระหว่างการดูแลอย่างใกล้ชิดและการเว้นพื้นที่ให้ลูกเติบโตด้วยตัวเอง
นอกจากนี้การ เลี้ยงลูกแบบ ‘มะ’ ยังช่วยให้ลูกเรียนรู้ที่จะรักตัวเอง เคารพผู้อื่น และใช้ชีวิตอย่างปกติสุข โดยไม่รู้สึกว่าถูกคุณพ่อคุณแม่ควบคุมหรือก้าวก่ายมากเกินไป แต่ยังคงรู้สึกอบอุ่น ปลอดภัย และมีความมั่นคงทางใจ เพราะได้รับความรักความใส่ใจอย่างเพียงพอเช่นกัน
อ่านมาถึงตรงนี้ ถ้าคุณพ่อคุณแม่อยากลองเอาแนวคิดนี้ ไปปรับใช้ในครอบครัวดูบ้าง เราสรุปหลักการสำคัญของการเลี้ยงลูกแบบ ‘มะ’ มาให้แล้วค่ะ
1. ให้พื้นที่สำหรับการเติบโต

คุณพ่อคุณแม่ควรเปิดโอกาสให้ลูกได้พัฒนาตนเองในจังหวะและช่วงวัยที่เหมาะสมตามธรรมชาติ ด้วยการให้เวลาและไม่เร่งรัดหรือควบคุมลูกมากเกินไป เช่น หากลูกกำลังพยายามผูกเชือกรองเท้า แม้จะใช้เวลานาน แต่คุณพ่อคุณแม่ควรอดทนรอให้ลูกทำจนสำเร็ข เพราะกระบวนการแห่งความพยายามนี้เอง ที่ช่วยเสริมสร้างความมั่นใจให้กับลูกได้
2. สร้างสมดุลระหว่างการใกล้ชิดและการให้ระยะห่าง

หัวใจสำคัญของการเลี้ยงลูกตามแนวคิด ‘มะ’ คือการหาจุดที่สมดุลระหว่างการดูแลลูกอย่างใกล้ชิดกับการให้ลูกมี ‘พื้นที่’ ของตัวเอง เพราะถึงแม้ เด็กทุกคนจะต้องการความรู้สึกปลอดภัยจากพ่อแม่ และความใกล้ชิดจะช่วยสร้างพื้นฐานด้านอารมณ์ที่มั่นคง แต่การให้พื้นที่ลูกได้เติบโตด้วยตัวเอง จะช่วยให้ลูกค่อยๆ เรียนรู้อย่างมั่นคงต่อไป
3. เคารพในความไม่สมบูรณ์แบบ

ความหมายของ ‘มะ’ (間) นอกจากจะหมายถึงช่องว่างหรือพื้นที่แล้ว ยังสอนว่าไม่มีสิ่งใดสมบูรณ์แบบ ทุกอย่างมีความงามในตัวของมันเอง เช่น แม้ภาพวาดของลูกจะไม่สมบูรณ์อย่างที่ควรเป็น แต่ก็มีความงดงามจากความพยายามและความคิดสร้างสรรค์ของลูกให้คุณพ่อคุณแม่ชื่นชมมากกว่าที่จะมองแต่ข้อผิดพลาดที่ทำให้ภาพนั้นไม่สวยงามในสายตาคนอื่น
4. ให้ความสำคัญกับเวลาว่างในชีวิตประจำวัน

การให้ลูกมีเวลาว่างที่เหมาะสมในชีวิตประจำวัน ไม่อัดตารางกิจกรรมแน่นจนเกินไป จะช่วยให้ลูกได้ผ่อนคลาย เกิดความสงบ ความคิดสร้างสรรค์ และมีเวลาคิดทบทวนเกี่ยวกับตัวเองมากขึ้นคุณพ่อคุณแม่ชาวญี่ปุ่นจึงมักจัดเวลาในแต่ละวันของลูกให้มีช่องว่าง เช่น ช่วงเวลาหลังเลิกเรียนที่เด็กๆ ได้พักผ่อน ทำสิ่งที่ชอบ หรือเล่นสนุกตามอัธยาศัย เพื่อให้ลูกได้ใช้เวลาช่วงนั้นค้นหาความถนัด ศักยภาพ และสิ่งที่เป็นความสุขของตัวเองอย่างแท้จริงต่อไป
COMMENTS ARE OFF THIS POST