READING

รวม 5 คอนเทนต์ หมวด ‘ดูแลสุขภาพกายลูก’...

รวม 5 คอนเทนต์ หมวด ‘ดูแลสุขภาพกายลูก’ ปี 2022 #MOMRecap2022

ดูแลสุขภาพกายลูก

คุณพ่อคุณแม่ทุกคนย่อมอยากให้ลูกมีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรงสมบูรณ์ มีพัฒนาการรอบด้านที่สมวัย เพราะการที่ลูกมีร่างกายที่แข็งแรงจะช่วยให้พวกเขาเติบโตและเรียนรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ดังนั้น ไม่ว่าเวลาที่ลูกจะเจ็บป่วยเพียงเล็กน้อยหรือรุนแรงแค่ไหน สุขภาพกายของลูกเป็นสิ่งที่สร้างความกังวลใจให้คุณพ่อคุณแม่ได้อยู่เสมอ

ตลอดปี 2022 เรามักจะเห็นข่าวสารของเด็กที่ป่วยด้วยปัญหาสุขภาพต่างๆ ค่อนข้างมาก M.O.M จึงทำคอนเทนต์เกี่ยวกับการ ดูแลสุขภาพกายลูก รวมถึงโรคยอดฮิตในเด็กที่จะช่วยให้คุณพ่อคุณแม่เข้าใจและหาวิธีป้องกันและรักษาสุขภาพลูกน้อยให้เติบโตอย่างสมบูรณ์แข็งแรงต่อไป

1. 5 วิธีปกป้องเบบี๋จากการเสียชีวิตเฉียบพลัน หรือ ‘โรคไหลตายในเด็ก (SIDS)

healthcare_1

ทารกเป็นวัยที่ร่างกายอ่อนแอและเจ็บป่วยได้ง่าย เพราะความบอบบางจึงสามารถมีอันตรายเกิดขึ้นกับทารกได้ตลอดเวลา แม้กระทั่งนอนหลับอยู่ก็ตาม

โรคไหลตายในเด็ก หรือการเสียชีวิตเฉียบพลันในเด็กทารก (SIDS) คือการที่ทารกเสียชีวิตอย่างกะทันหันจากการนอนหลับธรรมดา ซึ่งความน่าตกใจก็คือโรค SIDS เป็นหนึ่งในสาเหตุสำคัญอันดับต้นๆ ที่ทำให้เด็กทารกเสียชีวิต

โดยสาเหตุของโรค เกิดขึ้นได้จากหลายปัจจัย ไม่ว่าจะการให้ทารกนอนคว่ำ ทารกสูดดมควันบุหรี่จากคุณพ่อคุณแม่มากเกินไป ภาวะขาดอากาศหายใจ คลอดก่อนกำหนด หรือแม้แต่พันธุกรรมก็มีส่วนทำให้ทารกมีอาการของโรค SIDS ได้เช่นกัน

แต่แม้ โรคไหลตายในเด็กหรือ SIDS จะเป็นโรคที่มาจากหลายสาเหตุ แต่คุณพ่อคุณแม่ก็สามารถปกป้องลูกน้อยให้พ้นหรือได้รับอันตรายจากโรคนี้ให้น้อยลงได้ด้วยการดูแลทารก ดังนี้

อ่านบทความฉบับเต็มได้ที่นี่

2. โรคแพ้นมวัวในทารก: เรื่องไม่เล็กที่คุณแม่มือใหม่ไม่ควรมองข้าม

healthcare_2

เมื่อลูกเข้าสู่วัยหย่านมแม่ หรือช่วงอายุประมาณ 6 เดือน คุณแม่อย่างเราก็เริ่มมองหาอาหารที่ช่วยเสริมพัฒนาการ และมีคุณประโยชน์เทียบเท่านมแม่ อย่างนมผง หรือนมวัว แม้นมวัวจะมีสารอาหารที่จำเป็นต่อพัฒนาการของเด็กวัยหย่านม แต่ก็ไม่ใช่สำหรับเด็กทุกคน

งานวิจัยจาก National Center for Biotechnology Information (NCBI) เว็บไซต์ที่รวบรวมงานวิจัยเกี่ยวกับเทคโนโลยีชีวภาพ และการแพทย์ทั่วโลก เผยว่าเด็กช่วงวัยก่อน 1 ปีประมาณ 6% มีอาการแพ้นมวัว หรือที่ทางการแพทย์เรียกว่า ‘โรคแพ้นมวัวในทารก’ (Cow’s Milk Allergy in Babies)

อ่านบทความฉบับเต็มได้ที่นี่

3. ไส้ติ่งอักเสบในเด็ก ความเจ็บปวดในช่องท้องที่อันตรายกว่าที่คิด

healthcare_3

ไส้ติ่งอักเสบ (appendicitis) เป็นความเจ็บป่วยที่สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกเพศทุกวัย แต่สิ่งที่คุณพ่อคุณแม่ควรระวังก็คือ เมื่อลูกมีอาการปวดท้องเฉียบพลัน ที่เกิดจาก ไส้ติ่งอักเสบ แต่ไม่ได้รับการตรวจหรือวินิจฉัยทันที จะทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น ไส้ติ่งเน่าและแตก จนเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตได้

David Bundy หัวหน้าทีมวิจัยและกุมารแพทย์ที่ศูนย์เด็ก Johns Hopkins Children’s Center ให้ข้อมูลว่า อาการไส้ติ่งอักเสบที่เกิดในเด็กอายุต่ำกว่า 4 ปี 80 เปอร์เซ็นต์ จะจบลงที่ภาวะไส้ติ่งแตก ส่วนหนึ่งเป็นเพราะการวินิจฉัยที่ล่าช้าทำให้เด็กไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที

อ่านบทความฉบับเต็มได้ที่นี่

4. อยากเลี้ยงหมาแมว แต่กลัวว่าลูกจะเป็นภูมิแพ้: คุยกับหมอวิน—ผศ.นพ. วรวุฒิ เชยประเสริฐ กุมารแพทย์เฉพาะทางด้านโลหิตวิทยาและมะเร็งในเด็ก (เจ้าของเพจ เลี้ยงลูกตามใจหมอ)

healthcare_4

หนึ่งในคำถามและเรื่องถกเถียงที่มักจะได้เห็นในกลุ่มสังคมออนไลน์ของคุณพ่อคุณแม่บ่อยๆ ก็คือ สามารถเลี้ยงหมาแมวพร้อมกับเด็กเล็กได้หรือไม่ และไม่แน่ใจว่าจะยอมให้ลูกมีสัตว์เลี้ยง โดยเฉพาะสัตว์มีขนอย่างหมาหรือแมว เป็นของตัวเองดีไหม

  เพราะนอกจากเรื่องภาระหน้าที่และความรับผิดชอบแล้ว พ่อแม่หลายคนก็เคยได้ยินว่าการเลี้ยงสัตว์จะทำให้ ลูกแพ้ขนสัตว์ และเสี่ยงเป็นโรคภูมิแพ้-หอบหืดมากขึ้น รวมถึงมีกรณีศึกษาจากครอบครัวที่มีประสบการณ์เคยเลี้ยงหมาแมวมาก่อน แล้วพบว่าลูกมีอาการแพ้ขนสัตว์ จนต้องตัดสินใจเลิกเลี้ยง เอาหมาแมวไปประกาศหาบ้าน แล้วแยกย้ายกันไปในที่สุด

มีคำถามเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของการเลี้ยงสัตว์กับโรคภูมิแพ้ของลูก หรือที่หลายคนเรียกว่า ลูกแพ้ขนสัตว์ เราเองก็ต้องการคำตอบและคำอธิบาย จนต้องรบกวนขอคำอธิบายจาก หมอวิน—ผศ.นพ. วรวุฒิ เชยประเสริฐ กุมารแพทย์และคุณพ่อมาช่วยตอบข้อสงสัยเกี่ยวกับการเลี้ยงลูกเล็กไปพร้อมกับสัตว์เลี้ยงให้คุณพ่อคุณแม่ลองนำไปใช้ประกอบการตัดสินใจกันดูนะคะ

อ่านบทความฉบับเต็มได้ที่นี่

5. ไวรัส RSV: แชร์ประสบการณ์ความร้ายกาจของไวรัส RSV ที่ทำให้ลูกวัยสามขวบครึ่งต้องแอดมิตทันที!

healthcare_5

เมื่อลูกไม่สบาย มีน้ำมูก เป็นไข้ และมีอาการไอ สิ่งแรกที่คุณพ่อคุณแม่นึกถึงก็คือ คงจะเป็นไข้หวัดธรรมดา และสามารถรักษาตามอาการเองได้ เช่น เมื่อมีไข้ก็ต้องกินยาลดไข้ และเช็ดตัวบ่อยๆ หากมีน้ำมูกให้ล้างจมูกเช้าเย็น หรือมีอาการไอแบบมีเสมหะ ให้ลูกจิบน้ำอุ่นบ่อยๆ งดไปโรงเรียนและพักผ่อนให้เพียงพอ สัก 2-3 วันอาการก็จะดีขึ้นเองได้

แต่หากอาการเหล่านั้น ไม่ใช่ไข้หวัดธรรมดา แต่ป็นแค่จุดเริ่มต้นของ ‘โรคติดเชื้อทางเดินหายใจจากเชื้อไวรัส RSV’ โรคติดต่อในเด็กที่ทำให้คุณพ่อคุณแม่หลายคนต้องกุมขมับ

อ่านบทความฉบับเต็มได้ที่นี่


Supinya R.

ชอบอ่านนิยายสยองขวัญ ชอบเขียนไดอารี่ และเป็นคุณแม่จำเป็นในบางเวลา :-)

RELATED POST

COMMENTS ARE OFF THIS POST