เมื่อพูดถึงโรคไขมันพอกตับ มักถูกมองว่าเป็นโรคของผู้ใหญ่ที่ดื่มแอลกอฮอล์หรือมีน้ำหนักเกินเป็นหลัก แต่ความจริงแล้ว ไขมันพอกตับกำลังกลายเป็นภัยเงียบที่เข้ามาแทรกซึมและทำลายสุขภาพของเด็กจำนวนมาก และยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องมาตลอดในช่วงหลายปีที่ผ่านมา
ข้อมูลจาก การวิเคราะห์แนวโน้มระดับโลก พบว่าอัตราการพบ โรคไขมันพอกตับในเด็ก เพิ่มขึ้นจาก 4.6 เปอร์เซ็นต์ ในปี 2000 เป็น 9.0 เปอร์เซ็นต์ ในปี 2017 และอาจพุ่งสูงถึง 30.7 เปอร์เซ็นต์ ภายในปี 2040 หากไม่มีการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมในระดับครอบครัวและสังคมโดยรวม นอกจากนี้ จาก การศึกษาเมตา (Meta-analysis) ปี 2024 ยังพบว่าทั่วโลกเป็น โรคไขมันพอกตับในเด็ก เฉลี่ย 13 เปอร์เซ็นต์ และในกลุ่มเด็กอ้วน ตัวเลขสูงถึง 47 เปอร์เซ็นต์
ในประเทศไทยก็มีงานวิจัยที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์พบว่า เด็กที่ป่วยเป็นเบาหวานชนิดที่ 1 (โรคเบาหวานที่ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ ซึ่งส่งผลต่อความสามารถของร่างกาย ในการเปลี่ยนกลูโคสจากอาหารให้เป็นพลังงาน มักเกิดขึ้นในช่วงอายุยังน้อยและมักได้รับการวินิจฉัยในช่วงวัยเด็ก) กว่า 10 เปอร์เซ็นต์ มีภาวะไขมันพอกตับร่วมด้วย และส่วนใหญ่มีภาวะน้ำหนักเกิน ซึ่งชี้ให้เห็นความเชื่อมโยงของโรคเรื้อรังในวัยเด็กอย่างชัดเจน
ไขมันพอกตับในเด็กคืออะไร

โรคไขมันพอกตับในเด็กหรือที่เรียกในทางการแพทย์ว่า NAFLD (Non-Alcoholic Fatty Liver Disease) คือภาวะที่มีไขมันสะสมในตับมากผิดปกติ โดยไม่ได้เกิดจากการดื่มแอลกอฮอล์ โดยเกณฑ์ทั่วไปที่จะเรียกว่าเป็นโรคไขมันพอกตับ คือเมื่อไขมันในตับมากกว่า 5 เปอร์เซ็นต์ ของน้ำหนักตับทั้งหมด ในบางรายที่โรครุนแรงขึ้น การสะสมของไขมันอาจกระตุ้นให้เกิดการอักเสบและนำไปสู่ภาวะที่เรียกว่า NASH (Non-Alcoholic Steatohepatitis) ซึ่งหากปล่อยไว้โดยไม่ได้รับการดูแล ก็อาจพัฒนาไปเป็นพังผืด ตับแข็ง หรือแม้แต่มะเร็งตับในอนาคตได้
โรคนี้เกิดขึ้นในเด็กได้อย่างไร

ในยุคที่ไลฟ์สไตล์ของเด็กเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว มีหลายปัจจัยที่เป็นตัวกระตุ้นให้เด็กมีความเสี่ยงต่อโรคนี้มากขึ้น ได้แก่
1. น้ำหนักเกินและภาวะอ้วนลงพุง
เด็กที่มีน้ำหนักตัวเกินเกณฑ์ หรือมีไขมันสะสมบริเวณหน้าท้องมาก หรือที่เรียกว่า อ้วนลงพุง จะมีความเสี่ยงสูงเพราะไขมันส่วนเกินเหล่านี้สามารถเข้าไปสะสมในตับได้
2. อาหารที่มีน้ำตาลและไขมันสูง
อาหารแปรรูป อาหารฟาสต์ฟู้ดขนมขบเคี้ยว น้ำอัดลม และเครื่องดื่มรสหวาน ล้วนมีปริมาณน้ำตาลฟรุกโตสสูง ซึ่งน้ำตาลชนิดนี้เมื่อเข้าสู่ร่างกายจะถูกแปรรูปโดยตรงที่ตับ และมีแนวโน้มสูงในการเปลี่ยนเป็นไขมันสะสม
3. พฤติกรรมเนือยนิ่ง (sedentary lifestyle)
การที่เด็กใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่หน้าจอ ไม่ว่าจะเป็นโทรศัพท์ แท็บเล็ต หรือโทรทัศน์ โดยไม่เคลื่อนไหวร่างกาย ส่งผลให้พลังงานส่วนเกินในร่างกายไม่ถูกใช้ และกลายเป็นไขมันสะสมแทน
4. กรรมพันธุ์และปัจจัยทางพันธุศาสตร์
เด็กที่มีพ่อแม่หรือเครือญาติสายตรงเป็นโรคเบาหวาน ภาวะอ้วน หรือโรคตับ อาจมีความเสี่ยงสูงกว่าเด็กทั่วไป เนื่องจากเกี่ยวข้องกับพันธุกรรมที่ควบคุมการเผาผลาญ
อาการของโรคไขมันพอกตับในเด็ก

โรคไขมันพอกตับมักไม่แสดงอาการชัดเจนในระยะเริ่มต้น คุณพ่อคุณแม่อาจไม่ทันสังเกตเพราะลูกยังดูเหมือนมีสุขภาพแข็งแรงและร่าเริงตามปกติ แต่อาการอาจพบได้เมื่อโรคเริ่มลุกลาม เช่น อ่อนเพลียง่าย แน่นท้อง ปวดชายโครงด้านขวา เบื่ออาหาร และอาจน้ำหนักลดผิดปกติ
ป้องกันได้ด้วยการปรับพฤติกรรม

การปล่อยให้ไขมันสะสมในตับต่อเนื่องเป็นเวลานาน โดยไม่เปลี่ยนพฤติกรรม อาจนำไปสู่การอักเสบของตับ พังผืด ตับแข็ง และเพิ่มความเสี่ยงของโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง หรือโรคหัวใจตั้งแต่วัยรุ่น
โรคไขมันพอกตับในเด็กยังไม่มีการรักษาที่ชัดเจน เนื่องจากโรคนี้มักพบในเด็กที่มีภาวะอ้วน การรักษาจึงเป็นการปรับพฤติกรรมซึ่งได้ผลดีที่สุด ได้แก่
1. ปรับการกินอย่างมีสติ
สิ่งสำคัญคือการสร้างสภาพแวดล้อมที่ส่งเสริมสุขภาพให้ลูก เช่น ปรุงอาหารให้หลากหลาย ลดของหวาน ของทอดและมัน ไม่ใช้อาหารเป็นรางวัล เช่น ขนมแทนคำชม กำหนดเวลาการใช้หน้าจออย่างเหมาะสม ชวนลูกออกกำลังกายเป็นประจำ และตรวจสุขภาพลูกอย่างสม่ำเสมอ หากมีภาวะอ้วนควรแจ้งแพทย์เพื่อตรวอย่างละเอียดต่อไป
2. ควบคุมน้ำหนักแบบปลอดภัย
หากลูกเริ่มมีน้ำหนักเกิน ควรลดน้ำหนักอย่างค่อยเป็นค่อยไปภายใต้คำแนะนำของแพทย์ ไม่ควรอดอาหารหรือใช้วิธีลดน้ำหนักแบบเร่งด่วน
3. กระตุ้นให้ลูกออกกำลังกาย
ส่งเสริมกิจกรรมที่ลูกชอบ เช่น วิ่ง ว่ายน้ำ เตะบอล หรือแม้แต่การเดินเล่นกับครอบครัวอย่างน้อยวันละ 60 นาที
4. ลดเวลาหน้าจอ
แนะนำไม่ให้เด็กอายุต่ำกว่า 5 ปีใช้หน้าจอเกินวันละ 1 ชั่วโมง และเด็กโตควรกำหนดขอบเขตที่เหมาะสม
COMMENTS ARE OFF THIS POST