ในยุคโซเชียลมีเดียที่เปิดกว้างให้ผู้คนสามารถแสดงความคิดเห็นอย่างอิสระ หากลูกเติบโตและใช้งานโซเชียลมีเดียด้วยตัวเอง โดยไม่ได้รับการแนะนำเรื่องมารยาทหรือวิธีแสดงความคิดเห็นในอินเทอร์เน็ต ลูกก็อาจกลายเป็นส่วนหนึ่งของคนที่สร้างความไม่สบายใจให้คนอื่นได้
ในทางกลับกัน คุณพ่อคุณแม่ก็ควรเตรียมความพร้อมให้ลูกสามารถ รับมือคอมเมนต์เชิงลบ หรือ Negative Comment ที่พบได้ง่ายในโซเชียลมีเดียและชีวิตจริง ไม่ให้ลูกรับเอาคำวิจารณ์ที่ทำร้ายจิตใจมาสร้างบาดแผลและปมในจิตใจต่อไป
ช่วง 10 ปีแรกของเด็ก เป็นช่วงวัยที่ลูกต้องใช้ความมั่นใจในตัวเองเพื่อพัฒนาตัวตนและทักษะที่สำคัญในชีวิต หากคุณพ่อคุณแม่ไม่ได้เตรียมให้ลูกรับมือคอมเมนต์เชิงลบ และแยกแยะคอมเมนต์ที่มีประโยชน์กับการแสดงความคิดเห็นเชิงลบที่ไม่มีประโยชน์และควรเพิกเฉย ก็อาจทำให้ลูกยิ่งสูญเสียความมั่นใจ ไม่เป็นตัวของตัวเอง ขาดความเชื่อมั่น และไม่กล้าคิดกล้าทำสิ่งใหม่ๆ ได้
ดังนั้น การสอนลูกให้รู้จักแยกแยะความคิดเห็นที่มีประโยชน์กับความคิดเห็นเชิงลบที่ไม่ควรใส่ใจจึงเป็นอีกหนึ่งทักษะสำคัญสำหรับเด็กเจนฯ นี้เป็นอย่างยิ่งค่ะ
1. ปูพื้นฐานให้แข็งแกร่ง ก่อนเจอเหตุการณ์จริง
สิ่งสำคัญที่สุดคือการอธิบายให้ลูกเข้าใจว่า เมื่อลูกเติบโตขึ้น คนในสังคมจะไม่ได้มีแต่คำชื่นชมให้กันเท่านั้น ยังมีการตำหนิติเตียนทั้งจากผู้ที่หวังดี และการพูดแสดงความคิดเห็นเชิงลบ เพื่อทำลายความมั่นใจของลูกได้
ดังนั้น ลูกต้องทำความเข้าใจว่าทุกคนมีสิทธิ์ในการแสดงความคิดเห็น แต่ลูกไม่จำเป็นต้องให้ความสำคัญกับทุกความเห็น แต่สามารถเลือกที่จะรับฟัง และนำมาทำตามแค่ความคิดเห็นที่เป็นประโยชน์เท่านั้น
2. คำวิจารณ์ที่มีประโยชน์มักมีเหตุผลสนับสนุนเสมอ
ความแตกต่างระหว่างคำวิจารณ์ที่มีประโยชน์กับคำวิจารณ์ที่ไม่ควรให้ค่าก็คือ การให้เหตุผลและแนวทางการแก้ไข คุณพ่อคุณแม่อาจยกตัวอย่างประโยคการติเตียนให้ลูกได้ลองแยกแยะ และเปิดโอกาสให้ลูกลองเป็นฝ่ายแสดงความคิดเห็น เพื่อทดสอบความเข้าใจของตัวเองด้วย
ตัวอย่างคำวิจารณ์ที่มาพร้อมแนวทางการแก้ไข
• มันดีมากเลยที่หนูเป็นเด็กกล้าพูดกล้าแสดงออก แต่ถ้าลูกลองพูดจามีหางเสียงอีกหน่อย จะยิ่งน่ารักมากๆ เลยล่ะ
• การแกล้งเพื่อนเป็นพฤติกรรมที่ไม่น่ารักเลย ถ้าลูกอยากมีเพื่อนหรือเป็นที่รักของเพื่อนๆ ลองพูดชวนเพื่อนมาเล่นด้วยกันดีๆ ดูสิ
ตัวอย่างคำวิจารณ์ที่ไม่บอกเหตุผลและแนวทางแก้ไข
• พูดจาแบบนี้ ใครจะไปรัก
• ทำตัวอย่างนี้ึคงไม่มีใครเล่นด้วยหรอก
3. การติเรื่องรูปร่างหน้าตาจัดเป็นการติเพื่อทำลาย
ปัจจุบัน คนส่วนมากให้ความสำคัญกับการยอมรับในความแตกต่างและหลากหลายมากขึ้น คุณพ่อคุณแม่ควรสอนให้ลูกเพิกเฉยต่อการแสดงความคิดเห็นประเภทวิพากษ์วิจารณ์ในสิ่งที่เกิดขึ้นโดยธรรมชาติ รูปร่างหน้าตา หรือรูปลักษณ์ภายนอกของลูก เพราะเป็นความเห็นที่จะทำลายความมั่นใจและลดทอนความภาคภูมิใจในตัวเอง (Self-Esteem) ของลูกได้
4. อย่าให้น้ำหนักกับคอมเมนต์หยาบคาย
การแสดงความคิดเห็นด้วยถ้อยคำหยาบคาย หรือคำพูดที่สื่อถึงอารมณ์รุนแรง จัดเป็นการแสดงความคิดเห็นที่ไม่ได้ผ่านการไตร่ตรองมาอย่างถี่ถ้วน ลูกจึงไม่จำเป็นจะต้องให้ค่ากับคำพูดเหล่านั้น และที่สำคัญที่สุด คุณพ่อคุณแม่ควรสอนให้ลูกรู้จักจัดการอารมณ์ และไม่ตอบโต้ด้วยอารมณ์รุนแรง หรือคำหยาบคายกลับเช่นกัน
COMMENTS ARE OFF THIS POST