ในวันที่โลกทุกอย่างเชื่อมกันได้ด้วยปลายนิ้ว เพียงแค่กดสั่ง ก็มีของมาส่งถึงหน้าบ้าน ไม่ต้องเดินทาง ไม่ต้องต่อคิว ไม่ต้องรอนาน โลกของลูกจึงเต็มไปด้วยความสะดวกสบาย และการเข้าถึงสิ่งต่างๆ ได้รวดเร็ว
หลายบ้านเริ่มเจอปัญหาว่า ลูกซื้อของออนไลน์ ด้วยตัวเอง คุณพ่อคุณแม่หลายคนจึงอาจเป็นกังวลว่าลูกที่กำลังเติบโตในสังคมที่การใช้จ่ายทำได้ง่ายกว่าสมัยก่อนมาก และถ้าลูกไม่มีความรู้และภูมิคุ้มกันที่ดี อาจกลายเป็นคนที่ใช้เงินอย่างขาดสติ ตัดสินใจโดยไม่ไตร่ตรอง และหลงเชื่อโฆษณาหรือมิจฉาชีพได้โดยง่าย
เพราะฉะนั้น ก่อนที่จะอนุญาตให้ ลูกซื้อของออนไลน์ ด้วยตัวเอง คุณพ่อคุณแม่ควรเตรียมความพร้อมและสร้างภูมิคุ้มกันให้ลูกอย่างไร เรารวบรวมเทคนิคดีๆ มาให้แล้วค่ะ
1. เริ่มต้นจากความเข้าใจ ไม่ใช่การห้าม

คุณพ่อคุณแม่ต้องทำความเข้าใจว่า ลูกเติบโตในยุคที่เห็นว่าคุณพ่อคุณแม่มีพัสดุที่สั่งซื้อมาส่งที่บ้านเป็นประจำ เห็นเพื่อนหรือคนใกล้ตัวสั่งซื้อของจากแอปพลิเคชั่นส์ หรือติดตามยูทูบเบอร์ที่มักพูดถึงและรีวิวสินค้าตั้งแต่เริ่มแกะพัสดุ ดังนั้น หากลูกโตพอที่จะรับสื่อและเข้าใจเรื่องการซื้อของ คุณพ่อคุณแม่จึงไม่ควรใช้การห้ามอย่างไม่มีเหตุผล เพราะอาจทำให้ลูกเกิดความต่อต้าน และแอบทำโดยไม่ปรึกษาคุณพ่อคุณแม่ก็เป็นได้
ดังนั้น ก่อนที่จะสอนให้ลูกซื้อของออนไลน์ คือคุณพ่อคุณแม่ควรเริ่มจากความเข้าใจว่าการสั่งซื้อของออนไลน์มีข้อดี ข้อเสีย และข้อควรระวังอย่างไรบ้าง โดยอนุญาตให้ลูกได้ลองดูขั้นตอนต่างๆ จากคุณพ่อคุณแม่ ด้วยการพูดคุยด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวล เปิดโอกาสให้ลูกพูดความคิดของตัวเองบ้าง เช่น ถ้าให้ลูกตัดสินใจ ลูกจะเลือกซื้อจากร้านไหน เพื่อให้บทสนทนาเต็มไปด้วยความไว้ใจ มากกว่าการจับผิดลูก
2. แนะนำให้ลูกรู้จักเงินที่จับต้องได้

หนึ่งในข้อเสียของการซื้อของออนไลน์คือลูกจะไม่ได้เห็นขั้นตอนการจ่ายเงินที่จับต้องได้ ดังนั้น สิ่งที่ลูกควรเข้าใจมากที่สุดก็คือคุณค่าของเงินที่อยู่ในรูปแบบต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการจ่ายด้วยการสแกน QR-Code การโอน หรือตัดบัตรเครดิต ที่แม้ไม่มีการจับต้องเงินสด แต่ทุกอย่างล้วนคือการใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริงทั้งสิ้น
สิ่งสำคัญก็คือ คุณพ่อคุณแม่สามารถสอนเรื่องคุณค่าของเงิน ด้วยการให้ลูกเก็บเงินเองจากค่าขนมหรือจากการช่วยงานเล็กๆ น้อยๆ ภายในบ้าน เช่น ช่วยจัดโต๊ะอาหาร เก็บของเล่น หรือช่วยรดน้ำต้นไม้ จากนั้นเมื่อลูกอยากได้ของบางอย่าง คุณพ่อคุณแม่อาจตั้งกติกาว่าให้ลูกออกเงินเองครึ่งหนึ่งและคุณพ่อคุณแม่จะช่วยสนับสนุนส่วนที่เหลือ วิธีนี้จะช่วยให้ลูกเรียนรู้ว่าการได้ของบางอย่างต้องแลกมาด้วยความพยายามและการอดทนรอคอย ไม่ใช่แค่การกดสั่งแล้วรอรับอย่างเดียว
3. ฝึกลูกอ่านข้อมูลสินค้าอย่างรอบคอบ

สิ่งที่สำคัญไม่น้อยไปกว่าการรู้จักการใช้เงิน คือการอ่านรายละเอียดสินค้าที่ต้องการซื้อให้ครบถ้วน ไม่ว่าจะเป็นขนาด สี วัสดุ วิธีการจัดส่ง หรือการรีวิวจากลูกค้าคนอื่นๆ การอ่านข้อมูลเหล่านี้จะช่วยให้ลูกไม่หลงเชื่อภาพสินค้าที่ดูสวยเกินจริง และรู้จักตัดสินใจจากการมีข้อมูลรองรับ
คุณพ่อคุณแม่อาจเริ่มจากการเลือกสินค้าชิ้นเล็กๆ แล้วชวนลูกเปรียบเทียบสินค้าหลายรายการในประเภทเดียวกัน เช่น เลือกกระติกน้ำ กระเป๋าดินสอ หรือของเล่นชิ้นเล็กๆ พร้อมอธิบายว่าทำไมร้านนี้จึงดูน่าเชื่อถือ หรือสินค้านี้คุ้มค่ากว่า
4. สร้างข้อตกลงภายในครอบครัว

ถึงแม้คุณพ่อคุณแม่จะอนุญาตและมั่นใจว่าลูกสามารถสั่งซื้อของออนไลน์ด้วยตัวเองได้ แต่ก็ควรมีการทำข้อตกลงเพื่อป้องกันปัญหาที่จะตามมา เช่น ลูกต้องบอกหรือปรึกษาคุณพ่อคุณแม่ก่อนทำการสั่งซื้อทุกครั้ง หรือเมื่อพบความผิดปกติ เช่น ไม่ได้รับของภายในเวลาที่กำหนด มีการขอให้โอนเงินเพิ่มหลังจากทำการสั่งซื้อเรียบร้อย จะต้องบอกให้คุณพ่อคุณแม่ทราบด้วยทุกครั้ง
5. รับผิดชอบผลของการตัดสินใจ

ในกรณีที่ของที่ลูกสั่งไม่ตรงปก พัง หรือใช้ไม่ได้ คุณพ่อคุณแม่ไม่ควรตำหนิหรือทำให้ลูกรู้สึกผิด แต่ควรใช้โอกาสนี้เป็นบทเรียน เช่น ชวนลูกทบทวนว่าเราพลาดตรงไหน อ่านไม่ครบหรือเลือกจากภาพมากเกินไป แล้วสรุปเป็นประสบการณ์ให้ลูกจดจำ เพื่อให้เหตุการณ์ไม่ซ้ำรอยเดิมในครั้งหน้า
6. การสอนซื้อของออนไลน์คือการเตรียมลูกให้พร้อมใช้ชีวิต

สุดท้ายนี้ คุณพ่อคุณแม่อาจมองว่าการซื้อของออนไลน์เป็นแค่เรื่องเล็กๆ ในวัยเด็ก แต่แท้จริงแล้ว สิ่งที่ลูกได้เรียนรู้จากกระบวนการนี้คือพื้นฐานของชีวิตในอนาคต ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการใช้เงินอย่างมีสติ การคิดวิเคราะห์ก่อนตัดสินใจ ความรับผิดชอบต่อสิ่งที่เลือก และการกล้าจัดการปัญหาที่เกิดขึ้น
การที่ลูกโตขึ้นมาในสังคมที่ซื้อขายผ่านหน้าจอ ไม่ได้หมายความว่าเราต้องปิดกั้นหรือควบคุมลูกอย่างเข้มงวดเสมอไป หากคุณพ่อคุณแม่เลือกใช้วิธีการสื่อสารอย่างเปิดใจ และชวนลูกเรียนรู้ร่วมกันอย่างเป็นธรรมชาติ ลูกก็จะเติบโตเป็นผู้บริโภคที่ฉลาด มีวินัย และสามารถอยู่ในโลกออนไลน์ได้อย่างปลอดภัยนั่นเอง
COMMENTS ARE OFF THIS POST