READING

ความเข้าใจผิดในการเลี้ยงลูก : ที่ทำให้โลกของลูกหมุ...

ความเข้าใจผิดในการเลี้ยงลูก : ที่ทำให้โลกของลูกหมุนรอบแค่ตัวเอง

ความเข้าใจผิดในการเลี้ยงลูก

ความเป็นพ่อแม่ ย่อมรักและปรารถนาดีกับลูก อยากมอบสิ่งที่ดีที่สุดให้ลูก คาดหวังให้ลูกเป็นเด็กดี และต้องการให้ลูกมีความสุข สุขภาพแข็งแรง และเติบโตเป็นคนที่ประสบความสำเร็จในชีวิต

แต่บางครั้ง ความรักและปรารถนาดีกับลูกก็อาจทำให้คุณพ่อคุณแม่เกิด ความเข้าใจผิดในการเลี้ยงลูก กลายเป็นการพฤติกรรมการเลี้ยงดูที่ผิดพลาด แทนที่จะได้ผลลัพธ์เชิงบวก อาจส่งผลกระทบต่อพฤติกรรม ลักษณะนิสัย และการสร้างความสัมพันธ์เชิงลบกับสังคมและคนใกล้ตัวลูกได้

การศึกษาจาก Science of Generosity แห่งของมหาวิทยาลัยนอเทรอดาม (University of Notre Dame) แสดงให้เห็นว่า การที่พ่อแม่ตามใจลูกมาก จนลูกรู้สึกว่าตัวเองได้รับสิทธิ์พิเศษเหนือกว่าคนอื่น อาจทำให้ลูกกลายเป็นคนเห็นแก่ตัว เห็นอกเห็นใจผู้อื่นน้อยลง ไม่ทำตามกฎกติกาของสังคม แล้วคิดว่าตัวเองทำถูกต้องเสมอ

เพื่อปรับเปลี่ยนและแก้ไขพฤติกรรมการเลี้ยงดูที่เกิดจาก ความเข้าใจผิดในการเลี้ยงลูก และมีส่วนทำให้โลกของลูกหมุนรอบตัวเอง เพราะการที่ลูกเป็นที่รักของคุณพ่อคุณแม่ แต่มีปัญหากับคนรอบข้างตลอดเวลา ก็ไม่ใช่เรื่องดีต่อการเติบโตของลูกอย่างแน่นอน

1. ไม่เคยปฏิเสธความต้องการของลูก

parentingmistakes_web_1

Dr. Traci Baxley โค้ชด้านการเลี้ยงดูลูก และผู้แต่งหนังสือ Social Justice Parenting อธิบายว่า เมื่อไหร่ก็ตามที่คุณพ่อคุณแม่รักลูกมากจนเผลอตามใจลูกมากเกินไป และพยายามทำทุกอย่างเพื่อเติมเต็มความต้องการของลูก เพราะอยากให้ลูกมีความสุข และคุณพ่อคุณแม่เองก็จะสบายใจไปด้วย เมื่อนั้นลูกจะสูญเสียทักษะชีวิตที่สำคัญบางอย่าง เช่น การยอมรับความผิดหวัง และการเคารพความคิดเห็นของผู้อื่น ทำให้ลูกมีโอกาสที่จะเติบโตขึ้นมาเป็นคนแก่ตัวมากขึ้น

Felix Warneken ศาสตราจารย์ด้านจิตวิทยา มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด อธิบายว่า เด็กอายุ 2 ขวบ มักมีพฤติกรรมเห็นแก่ตัวตามวัยเป็นเรื่องปกติ แต่จะสามารถเข้าใจเรื่องนี้ได้เมื่อถูกสอนให้ถูกทาง กระทั่งเมื่อเด็กอายุได้ 3 ขวบ จะเริ่มแสดงความเห็นอกเห็นใจ เข้าใจความแตกต่างระหว่างความต้องการของตัวเองและของผู้อื่นได้

เช่นเดียวกับการศึกษาของ Mark Ottoni – Wilhelm นักเศรษฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัยอินเดียนา พบว่า เด็กอายุไม่เกิน 13 ปี เรียนรู้ที่จะเป็นคนมีน้ำใจได้จากบรรยากาศในครอบครัว แนวการสอน การเป็นผู้ให้ และรู้จักรับอย่างเหมาะสม ทำให้เห็นเป็นอบบอย่างที่ดี รวมทั้งการปฏิเสธลูกด้วยการใช้เหตุผลให้เหมาะสมกับวัย

2. พยายาม ‘ให้’ ลูกมากเกินความจำเป็น

parentingmistakes_web_2

Chital Mehta นักประพันธ์ชาวอินเดีย เป็นหนึ่งในคุณแม่ที่เคยคิดว่า การทุ่มสุดตัวซื้อทุกอย่างหรืออะไรก็ได้ ที่คิดว่าลูกได้รับแล้วจะมีความสุขมากขึ้น

ตรงกันข้าม การให้ที่เกินความจำเป็น ลูกก็ไม่ได้มีความสุขมากขึ้นอย่างที่คิด ทั้งยังอาจทำให้ลูกพลาดโอกาสที่จะใช้ชีวิตอย่างมีความสุขจากสิ่งเล็กๆ ที่เรียบง่าย พลาดโอกาสที่จะเรียนรู้วิธีรักษา และชื่นชมกับสิ่งที่ตัวเองมีอยู่ รวมไปถึงอาจทำให้ลูกรู้จักเพียงเป็นฝ่ายรับ เพราะเคยชินกับการที่ทุกคนจะต้องเอาใจด้วยการให้เขาอย่างเต็มที่

เธอจึงปรับแนวทางการเลี้ยงลูกใหม่ แทนที่ความสุขจากสิ่งของ เป็นการมอบเวลาและสายสัมพันธ์ที่แข็งแรง ทำทุกอย่างให้เรียบง่ายและสนุกไปพร้อมๆ กับลูก เช่นเล่นน้ำในสวนหลังบ้าน เล่นฟองสบู่ วิ่งเล่นท่ามกลางสายฝน ตื่นเต้นไปกับเรื่องเล่าจากจินตนาการของลูก พร้อมฟังทุกเรื่องราวที่ลูกอยากบอก อ่านหนังสือให้ลูกฟังทุกวัน พาลูกไปเที่ยวสวนสาธารณะในวันที่อากาศแจ่มใส แวะไปพิพิธภัณฑ์ สวนสัตว์ ทะเล และสร้างกิจกรรมสำหรับเด็กที่มีราคาไม่แพง

สิ่งที่ลูกจะได้รับ มีคุณค่ามากกว่าราคาของสิ่งของใดๆ ลูกจะได้เรียนรู้คำว่า ‘พอดี’ ได้รู้จักการอดทนรอคอย ได้ฝึกการเป็นผู้ให้ สลับการเป็นผู้รับในบางเวลา

3. แค่มองตาก็รู้ใจ คอยช่วยเหลือลูกทุกอย่าง

parentingmistakes_web_3

คุณพ่อคุณแม่ที่รู้ใจและเข้าใจความต้องการของลูกทุกอย่างย่อมเป็นเรื่องดี  แต่หากความรู้ใจนั้นทำให้คุณพ่อคุณแม่คอยยื่นมือให้ความช่วยเหลือตลอดเวลา ไม่ปล่อยให้ลูกได้คิด ตัดสินใจ หรือหาทางแก้ปัญหาด้วยตัวเอง ก็อาจส่งผลในทางตรงข้ามเพราะอาจทำให้ลูกรู้สึกเป็นศูนย์กลางของทุกอย่าง และทุกคนต้องพร้อมที่จะตอบสนองความต้องการของเขาเสมอ

เด็กอนุบาลเป็นวัยที่เริ่มดูแลตัวเองเบื้องต้นได้ ไม่ว่า กินข้าวเอง อาบน้ำแปรงฟังเอง แต่งตัว ใส่ถุงเท้ารองเท้า เก็บเสื้อผ้าใส่แล้วลงตะกร้า กินแล้วเก็บเอง รวมทั้งทำงานบ้านตามวัยได้เอง

โดยเฉพาะลูกวัยอนุบาล ที่ควรดูแลตัวเองเบื้องต้น เช่น ใส่เสื้อผ้า กินข้าว และอาบน้ำเองได้ หากคุณพ่อคุณแม่คอยให้ความช่วยเหลือหรือทำแทนลูกเสมอ ลูกอาจจะไม่ยอมทำหน้าที่ของตัวเอง และอาจปฏิเสธความรับผิดชอบของตัวเองต่อไป

คุณพ่อคุณแม่จึงควรฝึกฝนให้ลูกรับผิดชอบต่อหน้าที่ของตัวเองตั้งแต่ยังเล็ก เริ่มต้นที่รอบตัวลูก และเปิดโอกาสให้ลูกได้ทำทุกอย่างด้วยตัวเขาเอง พร้อมมอบความเชื่อมั่นในตัวลูกให้กับเรื่องอื่นๆ เช่นกัน

4. ปกป้องลูกมากเกินไป เหมือนห่อหุ้มลูกไว้ด้วยพลาสติกกันกระแทก
(Bubble-Wrap Parenting)

parentingmistakes_web_4

การปกป้องมากเกินไปหรือ Bubble-Wrap Parenting เลี้ยงลูกเหมือนการห่อลูกไว้ในพลาสติกกันกระแทก อาจจะส่งผลให้ลูกกลายเป็นเด็กเปราะบางได้

Julie Lythcott-Haims อดีตคณบดีมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด อธิบายว่า คุณพ่อคุณแม่มักผลักดันให้ลูกเป็นคนที่เก่งที่สุด แต่ลืมมอบเครื่องมือรับมือกับความล้มเหลวไว้ให้กับลูก หลายเรื่องที่คุณพ่อคุณแม่ต่อสู้เพื่อลูก แทนที่สอนให้ลูกรู้จักการต่อสู้เพื่อตัวเอง ทั้งยังลืมอุปกรณ์ที่ใช้ต่อกรกับความทุกข์ทรมานและการดิ้นรน นั่นเป็นเพราะคุณพ่อคุณแม่พยายามปกป้องลูกมากเกินไป

Dr. Jennifer Hartstein, Psy. D. ผู้เชี่ยวชาญด้านจิตบำบัด แนะนำว่า การไม่ปกป้องลูกมากเกินไปเป็นสิ่งจำเป็นในการเตรียมพร้อมให้ลูกเผชิญหน้ากับโลกแห่งความเป็นจริงได้ดี เพียงแค่ถอยหนึ่งก้าว เพื่อให้ลูกเรียนรู้วิธีแก้ปัญหา และกล้าเผชิญหน้ากับโลกใบนี้ได้ด้วยหัวใจที่แข็งแกร่งต่อไป

 

เลี้ยงลูกแบบไหนดี : เมื่อแนวทางการเลี้ยงลูกที่คนอื่นว่าดี ใช้ไม่ได้ผลกับลูกเรา
อ้างอิง
sciencedaily.com
cnbc.com/2022
cnbc.com/2023
indiatimes.com
hartsteinpsychological.com
businessinsid
hartsteinpsychological

Saranya A.

ศรัญญา อ่าวสมบัติกุล: คุณแม่มือใหม่ ที่มีความตั้งใจเลี้ยงลูกชายตัวน้อยด้วยการยึดโยงธรรมชาติ และความคิดสร้างสรรค์เข้าด้วยกัน คุณแม่คนนี้หลงรักและทำงานด้านการเขียนมากว่า 12 ปี ตอนนี้มีความฝันอยากเป็นนักวาดนิทานเด็ก

COMMENTS ARE OFF THIS POST