#ภาษาไทยพาที หนังสือเรียนวิชาภาษาไทยของนักเรียนชั้นประถม กำลังกลายเป็นประเด็นที่หลายคนวิพากษ์วิจารณ์ว่าเนื้อหาในหนังสือเรียนนอกจากจะล้าหลัง ไม่ทันสมัย และยังมีเนื้อหาที่ปลูกฝังค่านิยมที่ผิดให้กับเด็กๆ ได้
วันนี้ M.O.M เลยมารวบรวมประเด็นที่กำลังถูกวิจารณ์ในแบบเรียนภาษาพาทีมาฝากคุณพ่อคุณแม่กันค่ะ
#ไข่ต้ม
“ใยบัวรู้สึกตื้นตันจนน้ำตาคลอ รู้แล้วว่าคุณค่าของชีวิตอยู่ที่ไหน บ้านของข้าวปุ้นอยู่กินอย่างพอเพียง ขาดเครื่องอำนวยความสะดวกหลายอย่าง แต่ทำไมทุกคนมีความสุข ความสุขอยู่ที่ใจนี่เอง”
นี่คือประโยคส่วนหนึ่งจากในเนื้อหาของหนังสือภาษาพาที ซึ่งผู้เขียนอาจมีความตั้งใจเพื่อสะท้อนความเรียบง่ายแต่มีความสุขจากการกินอยู่อย่างพอเพียง แต่นักวิชาการหลายคนมองว่าการที่ให้เด็กกินข้าวไข่ต้มครึ่งซีกคลุกน้ำปลา อาจทำให้เด็กมีภาวะขาดสารอาหารได้ เพราะในความเป็นจริงไข่ต้มครึ่งซีกมีโปรตีนเพียง 1.7 กรัม ในขณะที่ในแต่ละวัน เด็กควรได้รับโปรตีนโปรตีน 1 กรัม ต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม
#ข้าวมันไก่ใส่น้ำปลา
เรื่องราวของน้องใบพลู ที่ไปกินข้าวมันไก่ แต่น้ำจิ้มเผ็ดเกินไป จึงแก้ปัญหาด้วยการไปขอน้ำปลาจากร้านขายข้าวอื่นแทน แม่ค้าจึงบอกกับใบพูลว่า “อะไรกัน ไม่ได้ซื้อข้าวแกงร้านนี้สักหน่อย จะมาขอน้ำปลา” คนขายต่อว่าก่อนจะบอกอนุญาต “เอ้า! อยากได้ก็ตักไป”
ใบพลูคอหด เดินถือจานข้าวมันไก่กลับโดยไม่ได้เติมน้ำปลา ไม่เป็นไร เขาไม่เต็มใจให้ก็อย่าไปเอาของเขาดีกว่า น่าเสียดาย น่าเสียดายจริงๆ ทำอย่างไรขนบธรรมเรียนประเพณีดีๆ ของไทยที่มีน้ำใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อกัน จึงจะอยู่ในจิตใจของคนไทยทุกคนและในทุกที่
เนื้อหาส่วนนี้ได้พยายามสะท้อนให้เด็กคำนึงถึงการมีน้ำใจ การแบ่งปัน และการเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อกัน แต่ในทางตรงข้าม เมื่อนึกถึงความเหมาะสมและมารยาททางสังคมแล้ว ใบพลูก็ไม่ควรไปขอน้ำปลาจากร้านที่อื่นเช่นกัน
#บริจาคเงิน
“ผมมีเงินติดกระเป๋ามาจำนวนหนึ่ง แม้ไม่มากนัก แต่ผมยินดีบริจาคช่วยเหลือ เพื่อบรรเทาทุกข์ให้พี่น้องร่วมโลก ผมหยอดเงินใส่ทุกกล่องจนเงินหมด”
เป็นเนื้อหาที่พูดถึงการบริจาคที่ไม่ถูกต้อง เพราะความจริงแล้วการบริจาคเงินหรือสิ่งของเพื่อช่วยเหลือคนอื่น ควรทำตามกำลังและศักยภาพของตัวเอง ไม่เบียดเบียนตัวเองไปให้คนอื่น
#Saveเกี๊ยว
ย้อนกลับไปเมื่อปี 2563 ก็เคยมีการวิพากษ์วิจารณ์หนังสือเรียนภาษาพาทีกันมาแล้ว ซึ่งเป็นหนังสือเรียนภาษาพาทีของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โดยเนื้อหาบางส่วนของบทเรียน ระบุว่า
“เกี๊ยวใจแตกมาตั้งแต่ยังไม่มีคำนำหน้าว่านางสาว ตามีไว้ดูโทรทัศน์ ปากมีไว้กิน และพูดเรื่องไร้สาระ หูมีไว้แนบกับโทรศัพท์มือถือแทบไม่เคยห่าง ตอนกลางวัน เกี๊ยวหนีโรงเรียนไปเที่ยวตามศูนย์การค้า กลางดึกก็หนีออกจากบ้านไปเที่ยวผับ หนุ่มๆ ในซอยสามารถหยอกเอินเกี๊ยวด้วยคำพูดที่คึกคะนอง ลามปามไม่ให้เกียรติ แทนที่จะโกรธและเดินหนี เกี๊ยวกลับสนุกที่จะตอบโต้กลับ ด้วยคำพูดในลักษณะเดียวกัน”
และเมื่อมีการเผยแพร่เนื้อหานี้ออกไป ทำให้หลายคนมองว่าเนื้อหาที่พยายามสอนให้ผู้หญิงรักนวลสงวนตัว แต่เมื่ออ่านหลายประโยคดีๆ แล้ว ทำให้คนเกิดการตั้งคำถามว่า หรือนี่จะเป็นการปลูกฝังค่านิยมว่าผู้หญิงต้องเป็นในแบบที่สังคมคาดหวัง และนำไปสู่การถกเถียงในเรื่องความเท่าเทียมทางเพศ และสิทธิมนุษยชน เกิดแฮชแท็ก #Saveเกี๊ยว ขึ้นมา
COMMENTS ARE OFF THIS POST