อากาศที่เย็นลงและความชื้นที่เพิ่มขึ้นของหน้าฝน เป็นพันธมิตรที่ทำให้เชื้อโรคเจริญเติบโตดี แถมยังแพร่กระจายได้ง่าย
ศูนย์สุขภาพเด็กและวัยรุ่น รพ.พญาไท 2 เลยมาให้ข้อมูล 5 โรคติดเชื้อสุดฮิตที่เด็กๆ ต้องเจอในหน้าฝน มาเป็นขบวนพาเหรดตั้งแต่โรคที่ติดเชื้อจากไวรัส เช่น ไข้หวัดใหญ่ โรคมือเท้าปาก โรคไข้เลือดออก และโรคที่เกิดได้จากทั้งไวรัสและแบคทีเรีย เช่น อุจจาระร่วง และโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ
1. โรคไข้หวัดใหญ่
โรคไข้หวัดใหญ่เกิดจากเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ ที่เกิดในคนมี 3 สายพันธุ์คือ A B และ C หากเด็กๆ ได้รับเชื้อจะมีไข้สูง ไอ มีน้ำมูก ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยตามตัว มีอาการซึม งอแง ไม่ค่อยกินอาหาร ถ้าเป็นเด็กแรกเกิด แพทย์จะแนะนำให้อยู่ในการดูแลที่โรงพยาบาลเพราะอันตราย
โรคไข้หวัดใหญ่สามารถป้องกันด้วยการฉีดวัคซีน เริ่มได้ตั้งแต่…
ในเด็กอายุต่ำกว่า 6 เดือน ยังไม่สามารถฉีดวัคซีนได้ แต่แนะนำให้ฉีดวัคซีนแก่ผู้เลี้ยง อาจเป็นคุณพ่อคุณแม่ หรือพี่เลี้ยง
6 เดือน-9 ปี สำหรับเด็กที่อายุน้อยกว่า 9 ปี ปีแรกที่ฉีดแนะนำให้ฉีด 2 เข็ม ห่างกัน 1 เดือน เพื่อกระตุ้นภูมิคุ้นกันอย่างเต็มที่
เด็กอายุ 9 ปีขึ้นไป ฉีดแค่เพียงเข็มเดียวในปีแรก หลังจากนั้นฉีดกระตุ้นปีละหนึ่งเข็ม
2. โรคมือเท้าปาก
โรคมือเท้าปากนั้นเกิดจากเชื้อไวรัส มักพบได้ในเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี ซึ่งติดต่อได้ง่ายมาก ทั้งทางน้ำลาย จากการรับประทานอาหารที่มีเชื้อปนเปื้อน เมื่อรับเชื้อเด็กอาจมีไข้สูง และมีตุ่มน้ำใสขึ้นที่ฝ่ามือ ฝ่าเท้า ปาก ลิ้น เหงือก โดยมีอาการเจ็บร่วมด้วย อาการมักจะหายเองภายใน 5-7 วัน โดยโรคแทรกซ้อนที่พบได้คือสมองอักเสบ หรือกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ
ดังนั้น หากเด็กมีอาการของโรคมือเท้าปาก คุณพ่อคุณแม่ควรรีบพาเด็กไปพบแพทย์ และหากแพทย์วินิจฉัยว่าเป็นโรคมือเท้าปาก เด็กๆ จะต้องหยุดเรียนอย่างน้อย 1 สัปดาห์ หรือจนกว่าแผลจะหาย
3. โรคไข้เลือดออก
เป็นโรคติดต่อที่เกิดจากเชื้อไวรัส มีทั้งหมด 4 สายพันธุ์ ซึ่งมียุงลายบ้านเป็นพาหะ เมื่อเด็กได้รับเชื้อจะมีไข้สูง ปวดศีรษะ ปวดกล้ามเนื้อ ปวดกระดูก และอาจมีจุดเลือดออกตามผิวหนัง
การป้องกันที่ดีที่สุดคือ อย่าปล่อยให้ยุงกัด กำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุง ปัจจุบันมีวัคซีนป้องกันโรคไข้เลือดออก ซึ่งสามารถให้ได้ในเด็กอายุตั้งแต่ 9 ปี จนถึงผู้ใหญ่อายุ 45 ปี หากต้องการรับวัคซีน แนะนำให้ปรึกษาแพทย์
4. โรคอุจจาระร่วง
อาจเกิดได้ทั้งจากเชื้อไวรัสและแบคทีเรีย พบมากในเด็กเล็กอายุต่ำกว่า 5 ปี อาการเบื้องต้นจะท้องเสียมากกว่า 3 ครั้งต่อวัน เมื่อเด็กมีอาการท้องเสีย หรืออาเจียน เด็กอาจจะมีอาการขาดน้ำและเกลือแร่ ฉะนั้น คุณพ่อคุณแม่ต้องสังเกตอาการอย่างใกล้ชิด ควรรีบพบแพทย์ทันที
ปัจจุบันโรคท้องเสียที่เกิดจากไวรัสโรตามีวัคซีนในการป้องกันชนิดหยอดที่ใช้ได้เฉพาะในเด็กเล็กเท่านั้น ซึ่งสามารถป้องกันโรค ลดความรุนแรง และมีความปลอดภัยสูง โดยจะเริ่มหยอดครั้งแรกในเด็กที่มีอายุเกิน 6 สัปดาห์ขึ้นไป และจะให้ครั้งต่อไปห่างจากครั้งแรก 4 สัปดาห์ โดยหยอดทางปาก 2-3 ครั้ง ขึ้นอยู่กับชนิดของวัคซีน
5. โรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ
เป็นโรคที่เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียนิวโมค็อกคัส เมื่อเด็กติดเชื้ออาจมีอาการไข้สูง ซึม ชักเกร็ง แขนขาอ่อน พ่อแม่ต้องสังเกตอาการอย่างใกล้ชิด เพราะเด็กเล็กไม่สามารถบอกอาการได้ หากมีอาการดังกล่าวควรรีบมาพบแพทย์
นิวโมค็อกคัสเป็นเชื้อที่สามารถแพร่กระจายได้ผ่านระบบทางเดินหายใจ จึงควรเลี่ยงพาเด็กไปในสถานที่แออัด หรือถ้าจำเป็นจะต้องไปควรใส่หน้ากากอนามัย และฉีดวัคซีนเสริมภูมิต้านทาน
โดยฉีดเมื่อ อายุ 2, 4 และ 6 เดือน และกระตุ้นซ้ำเมื่ออายุ 12-15 เดือน
ถ้าเริ่มฉีดในเด็ก อายุ 7-11 เดือน ให้ฉีด 2 ครั้งห่างกัน 2 เดือน และกระตุ้นซ้ำเมื่ออายุ 12-15 เดือน
ส่วน เด็กอายุ 1-5 ปีที่ยังไม่เคยได้รับวัคซีนนี้ ให้ฉีดครั้งเดียว ยกเว้นในเด็กที่มีภูมิคุ้มกันต่ำหรือมีความเสี่ยงสูงต่อการติดเชื้อนิวโมค็อกคัสชนิดรุนแรง โดยให้ฉีด 2 ครั้งห่างกัน 2 เดือน
สาเหตุของการเกิดโรคติดเชื้อต่างๆ ที่สำคัญคือการสัมผัสกับเชื้อโรค ทั้งจากการสัมผัสคลุกคลีกับคนป่วย การหายใจ และทางปาก คุณพ่อคุณแม่จึงควรสอนให้เด็กๆ รักษาสุขอนามัยของตัวเองด้วย…
- ล้างมือทุกครั้งก่อนและหลังใช้ห้องน้ำ และก่อนรับประทานอาหาร
- หลีกเลี่ยงพาเด็กๆ ไปอยู่ในที่ชุมชนที่มีผู้คนพลุกพล่าน ถ้าเลี่ยงไม่ได้ควรสวมหน้ากากอนามัยเสมอ
- รับวัคซีนพื้นฐานให้ครบ และฉีดวัคซีนตามคำแนะนำแพทย์ แล้วแต่กรณี คอยสังเกตอาการเมื่อป่วย ถ้าผิดสังเกตให้รีบปรึกษาแพทย์ทันที
- รับประทานอาหารให้ครบทั้งห้าหมู่ กินของปรุงสุกใหม่ ใช้ช้อนกลางเป็นนิสัย และควรออกกำลังกายให้เหมาะตามวัย
- จัดการสิ่งแวดล้อมรอบตัว ทั้งในบ้านและรอบบริเวณบ้านให้สะอาด สว่าง และอากาศถ่ายเทได้ดี
NO COMMENT