การมี ลูกคนที่สอง สำหรับคุณพ่อคุณแม่ที่เฝ้ารออยากมีลูกคนเล็กหรือมีน้องให้กับลูกคนแรกย่อมเป็นเรื่องที่น่ายินดีสำหรับทุกคนในครอบครัว
แต่สำหรับลูกคนแรก ที่เคยเป็นลูกคนเดียวมาตลอด เด็กๆ อาจรู้สึกยินดีและดีใจที่จะได้มีเพื่อนเล่น แต่ในขณะเดียวกัน ลูกก็สามารถเกิดความรู้สึกกังวลใจว่า ลูกคนที่สอง ของคุณพ่อคุณแม่ จะเข้ามาแย่งความรัก ความสนใจที่คุณพ่อคุณแม่เคยมีให้อย่างล้นปรี่ไปก็เป็นได้
พ.ญ. พรรณพิมล หล่อตระกูล—ผู้อำนวยการสถาบันราชานุกูล จิตแพทย์เด็กและวัยรุ่น เคยกล่าวไว้ว่า เป็นเรื่องปกติที่ลูกคนโตจะเกิดความรู้สึกอิจฉาลูกคนเล็ก เพราะลูกคนโตเคยได้รับความสนใจจากคุณพ่อคุณแม่และผู้คนรอบข้างเพียงคนเดียวมาตลอด เมื่อมีสมาชิกใหม่เพิ่มเข้ามาในครอบครัวทุกคนต่างให้ความสนใจกับทารกในท้องมาเป็นพิเศษ จึงทำให้ลูกคนโตเกิดความรู้สึกน้อยใจคุณพ่อคุณแม่และเกิดเป็นความอิจฉาน้องคนเล็กก็เป็นได้
ดังนั้น เพื่อสร้างความเข้าใจในสถานการณ์ของการเป็นลูกคนโต M.O.M จึงได้รวบรวม 4 สิ่งที่คุณพ่อคุณแม่ควรบอกลูก เมื่อเขากำลังจะไม่ใช่ลูกคนเดียวอีกต่อไป มาฝากคุณพ่อคุณแม่ที่กำลังวางแผนหรือกำลังจะได้เป็นครอบครัวลูกสอง มาฝากกันค่ะ
1. ลูกยังเป็นลูกรักของคุณพ่อคุณแม่เสมอ
การตั้งท้องลูกคนที่สอง อาจทำให้กิจวัตรประจำวันที่คุณแม่เคยทำร่วมกับลูกคนโตเปลี่ยนแปลงไป เช่น ไม่สามารถเล่นสนุกกับลูกได้เต็มที่เหมือนเดิม ส่วนคุณพ่อก็ต้องคอยดูแลและรับผิดชอบหน้าที่บางอย่างแทนคุณแม่มากขึัน กิจวัตรที่เปลี่ยนแปลงไปเพราะการน้องคนเล็ก ตั้งแต่คุณแม่ยังไม่คลอดเหล่านี้ อาจเป็นจุดเริ่มต้นความรู้สึกน้อยใจให้ลูกคนโตได้
คุณพ่อคุณแม่จึงควรอธิบายให้ลูกเข้าใจเหตุผลและข้อจำกัดที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงต่างๆ และปรับเปลี่ยนกิจกรรมให้ยืดหยุ่น เหมาะสม หรือให้ลูกมีส่วนร่วมวางแผนจัดการมากขึ้น เช่น ปรึกษาลูกว่าในช่วงเวลาที่คุณแม่ใกล้คลอดแล้ว อาจจะเล่นหรือทำหน้าที่บางอย่างบกพร่องไปบ้าง ลูกคิดว่า จะให้คุณพ่อเข้ามาช่วยทำหน้าที่แทนแม่บ้างดีไหม เพื่อให้ลูกเข้าใจสถานการณ์และไม่รู้สึกว่ากำลังถูกลดความสำคัญลง
2. ลูกกำลังจะมีคู่หูรู้ใจ
บางครั้งลูกยังเด็กเกินกว่าจะเข้าใจการมีน้อง และไม่รู้ว่าการมีพี่น้องมีข้อดีอย่างไรบ้าง คุณพ่อคุณแม่จึงควรสร้างทัศนคติที่ดีต่อการมีพี่น้องให้กับลูก เช่น บอกให้ลูกรู้ว่าน้องที่กำลังจะเกิดมา จะกลายเป็นทั้งเพื่อนเล่นและคู่หูที่รู้ใจของลูกในอนาคต แล้วลอง ให้ลูกได้สื่อสารกับน้องที่อยู่ในท้องคุณแม่บ่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นการฟังเสียงหัวใจเต้น พูดคุยกับน้อง เพื่อให้ลูกรู้สึกว่าได้เป็นคนสำคัญของครอบครัว เป็นส่วนหนึ่งของการมีน้อง และคุ้นเคยกับน้องตั้งแต่ในท้องคุณแม่นั่นเอง
3. ลูกไม่จำเป็นต้องแบกรับความกดดันของการเป็น ‘พี่’
การเป็นพี่ไม่ควรถูกนำมาใช้กดดันลูกคนโต หรือทำให้ลูกรู้สึกว่าการมีน้องจะเข้ามาเปลี่ยนแปลงชีวิตตัวเองมากนัก คุณพ่อคุณแม่จึงไม่ควรย้ำหรือใช้ประโยค เช่น ‘ลูกกำลังจะได้เป็นพี่คนแล้วนะ’ กับลูกมากเกินไป
รวมถึง คุณพ่อคุณแม่ไม่ควรคาดหวังหรือมอบหมายให้ลูกคนโตเป็นแบบอย่างให้น้อง หรือต้องรับผิดชอบและ ช่วยคุณพ่อคุณแม่ดูแลน้องเสมอ เพราะลูกทุกคนควรได้รับอิสระและความเท่าเทียมกันในชีวิต และการเป็นพี่ไม่ใช่สิ่งที่ลูกจะต้องกังวล เพราะความรักของคุณพ่อคุณแม่จะมีให้ลูกเหมือนเดิมเสมอ แม้ว่าลูกจะงอแงหรือทะเลาะกับน้องบ้างก็ตาม
4. คุณพ่อคุณแม่พร้อมรับฟังลูกเสมอ
ลูกอาจเกิดความรู้สึกน้อยใจ เมื่อคุณพ่อคุณแม่ให้ความสนใจในตัวน้องมากกว่า แล้วกลายเป็นการแสดงพฤติกรรมงอแง โวยวาย เพื่อเรียกร้องความสนใจจากคุณพ่อคุณแม่ออกมาบ้าง
อีกสิ่งหนึ่งที่คุณพ่อคุณแม่ควรบอกลูกก็คือ ลูกควรกล้าที่จะพูดความรู้สึกของตัวเองออกมาตรงๆ โดยที่คุณพ่อคุณแม่จะรับฟังและไม่ตัดสินลูกจากความรู้สึกเหล่านั้น เช่น แม้ลูกจะบอกว่าอิจฉาน้อง หรือบอกว่าคุณพ่อคุณแม่รักน้องมากกว่า คุณพ่อคุณแม่ก็ไม่ควรตำหนิลูก แต่ควรปรับความเข้าใจและหาสาเหตุที่ทำให้ลูกรู้สึกเช่นนั้นที่สำคัญคือต้องไม่ลืมที่จะขอโทษและชื่นชมลูกที่กล้าพูดหรือบอกให้คุณพ่อคุณแม่รู้ว่ากำลังทำอะไรผิดพลาด เพราะการที่ลูกเก็บความรู้สึกเอาไว้โดยไม่พูด แต่แสดงพฤติกรรมเชิงลบออกมาเพื่อเรียกร้องความสนใจจากคุณพ่อคุณแม่ อาจทำให้ความสัมพันธ์ในครอบครัวมีโอกาสที่จะแย่ลงได้
COMMENTS ARE OFF THIS POST