แม้ยุคสมัยจะทำให้การพูดคุยเรื่องเพศศึกษา ไม่ใช่เรื่องที่ต้องเขินอายและหลบซ่อนเหมือนเมื่อก่อน แต่คุณพ่อคุณแม่บางคนก็ยังคงรู้สึกกระอักกระอ่วนที่จะต้องสอนหรือให้ความรู้เรื่องเพศกับลูก อาจเพราะไม่แน่ใจว่าลูกยังเด็กเกินกว่าที่จะเข้าใจหรือไม่ หรือคิดว่าปล่อยให้หน้าที่ของคุณครูที่โรงเรียนดีกว่า จนสุดท้าย คุณพ่อคุณแม่ที่ควรจะเป็นผู้บุกเบิกให้ลูกได้ทำความเข้าใจเรื่องเพศได้ดีที่สุด ก็อาจจะไม่ได้สอนหรือให้ความรู้ที่จำเป็นกับลูกได้ดีเท่าที่ควร
การปล่อยให้ความอยากรู้อยากเห็นของลูกทำงานในยุคที่อินเทอร์เน็ตอยู่ใกล้แค่ปลายนิ้ว อาจเป็นเรื่องปกติสำหรับการเรียนรู้ของเด็กในปัจจุบัน แต่สำหรับเรื่องเพศศึกษา จะดีกว่าไหม ถ้าคุณพ่อคุณแม่ไม่ปล่อยให้มันเป็นปริศนาคาใจลูก หรือรอให้ลูกไปหาคำตอบหรือเรียนรู้ด้วยตัวเอง แต่เริ่มต้นด้วยการสร้างพื้นฐานความเข้าใจที่ถูกต้องไว้ให้ตั้งแต่เนิ่นๆ
เราจึงรวบรวมเทคนิคดีๆ มาให้คุณพ่อคุณแม่ที่อยากจะพูดคุยเรื่องเพศศึกษากับลูก แต่นึกไม่ออกบอกไม่ถูกว่าจะเริ่มตอนไหน และควรสื่อสารอย่างไรกับลูกดี
1. ค่อยๆ สอนทีละเรื่อง เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม

คุณพ่อคุณแม่มักจะอึกอักเพราะไม่ได้เตรียมคำตอบที่ดีพอเอาไว้อธิบาย เมื่อลูกเกิดถามหรือสงสัยเกี่ยวกับเรื่องที่ต้องใช้คำตอบทางเพศศึกษา เช่น หนูเกิดมาได้ยังไง หรือ ผู้ชายกับผู้หญิงมีอะไรไม่เหมือนกันบ้าง
ดังนั้นคุณพ่อคุณแม่ ไม่จำเป็นต้องรอให้ลูกถามก่อนเสมอไป แต่ใช้วิธีสังเกตพฤติกรรมและความสนใจของลูกในช่วงเวลาต่างๆ แล้วหาหรือสร้างโอกาสเปิดประเด็นเพื่ออธิบายให้ลูกมีความเข้าใจเบื้องต้น เกี่ยวกับเพศและร่างกายของตัวเอง
ทั้งนี้ความสามารถในการทำความเข้าใจของเด็กแต่ละช่วงวัยย่อมแตกต่างกัน ดังนั้นคุณพ่อคุณแม่ควรเลือกบอกและอธิบายตามช่วงวัยที่เหมาะสมของลูกด้วย เช่น
ลูกอายุ 2–5 ปี
เด็กในวัยนี้เริ่มสังเกตความแตกต่างทางสรีระของผู้ชายกับผู้หญิง และมีความสนใจใคร่รู้เกี่ยวกับส่วนต่างๆ ของร่างกาย คุณพ่อคุณแม่ควรสอนให้ลูกรู้จักกับอวัยวะของตัวเอง สอนให้ลูกรู้ว่าการปกป้องร่างกายเป็นเรื่องสำคัญ และอวัยวะส่วนไหนที่สำคัญเป็นพิเศษ ไม่สามารถให้ใครมาสัมผัสได้
ลูกอายุ 5–8 ปี
เด็กในช่วงวัยนี้สามารถเข้าใจความแตกต่างระหว่างเพศชายกับเพศหญิงได้แล้ว และส่วนใหญ่ เด็กวัยนี้มักจะจับกลุ่มเล่นกันด้วยการรับรู้ถึงบทบาททางเพศของแต่ละคน เช่น การเล่นบทบาทสมมติ เด็กจะเริ่มรู้ว่าผู้ชายจะได้รับบทเป็นคุณพ่อ ส่วนผู้หญิงต้องรับบทเป็นคุณแม่
ช่วงวัยนี้ คุณพ่อคุณแม่ควรสอนเรื่องการปฏิบัติตัวกับเพศตรงข้ามอย่างเหมาะสม สามารถสอนเรื่องเพศศึกษาให้ลูกได้ด้วยการอ่านหนังสือนิทานความรู้ หรือเริ่มอธิบายเรื่องเพศศึกษาที่ซับซ้อนมากขึ้นได้
ลูกอายุ 9 – 12 ปี
ช่วงก่อนวัยรุ่น เด็กบางคนจะเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงทางร่างกายและฮอร์โมนอย่างเห็นได้ชัดในช่วงวัยนี้ เช่น เด็กผู้หญิงเริ่มมีประจำเดือน เด็กผู้ชายเริ่มมีสรีระร่างกายและน้ำเสียงที่เปลี่ยนไป
ดังนั้นช่วงวัยนี้ คุณพ่อคุณแม่ควรเริ่มสอนให้ลูกเตรียมพร้อมรับการเปลี่ยนแปลงทางร่างกายที่จะเกิดขึ้น เช่น เด็กผู้หญิงอาจต้องเริ่มสวมเสื้อชั้นในสำหรับวัยรุ่น และสอนให้ลูกเข้าใจกระบวนการสืบพันธุ์ของมนุษย์
ลูกอายุ 13–18 ปี
เมื่อลูกเข้าสู่ช่วงวัยรุ่น ร่างกายจะมีการหลั่งฮอร์โมนเพศ และมีความสามารถในการเจริญพันธุ์เหมือนผู้ใหญ่ และจะเป็นช่วงที่ลูกเริ่มรู้สึกว่าตัวเองโตเกินกว่าที่จะเอาความสงสัยต่างๆ มาถามคุณพ่อคุณแม่ และมีความอยากรู้อยากลองด้วยตัวเองมากที่สุด หากคุณพ่อคุณแม่ไม่เคยเปิดใจสอนหรืออธิบายเรื่องเพศศึกษาให้ลูกฟังมาก่อน ก็จะยิ่งยากที่จะเริ่มต้นพูดคุยกับลูกในวัยนี้
แต่ถึงอย่างนั้น วัยนี้คุณพ่อคุณแม่ควรทำให้ลูกรู้ว่าการพูดคุยและปรึกษาคุณพ่อคุณแม่เรื่องเพศเป็นเรื่องธรรมดาที่ลูกสามารถทำได้ และควรสอนให้ลูกรู้จักระมัดระวังและป้องกันตัวเองจากการมีเพศสัมพันธ์เอาไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ นะคะ
2. คุณพ่อคุณแม่ต้องเปิดใจและมีทัศนคติทางเพศที่ดี

คุณพ่อคุณแม่ไม่ควรคิดว่าการพูดคุยเรื่องเพศ เป็นเรื่องน่าอายหรือลามกอนาจาร แต่เป็นการสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องให้ลูก เพื่อเป็นพื้นฐานที่ดีก่อนที่ลูกจะเติบโตและเรียนรู้ด้วยตัวเองต่อไป
3. สื่อสารกับลูกให้ถูกวิธี

ถ้าวันดีคืนดี ลูกเกิดมีคำถามที่คุณพ่อคุณแม่ไม่ได้เตรียมคำตอบมาก่อน เช่น หนูเกิดมาได้ยังไง คุณพ่อคุณแม่ควรประเมินว่าลูกอยู่ในช่วงวัยที่สามารถเข้าใจได้แค่ไหน แล้วพูดคุยกับลูกด้วยท่าทีปกติ ถ้าลูกยังเล็กอาจตอบกว้างๆ ว่า “เพราะพ่อแม่รักกัน เป็นสามีภรรยากัน ก็เลยสร้างหนูขึ้นมาได้”
สิ่งที่ไม่ควรทำคือการมีท่าทีผิดปกติ ตกใจ โกหก หรือห้ามไม่ให้ลูกถามเรื่องนี้อีก เพราะจะทำให้ลูกเข้าใจว่าเพศศึกษาเป็นเรื่องต้องห้ามและไม่ควรพูดถึงอีก
4. สอนให้ลูกยอมรับความหลากหลายทางเพศ

ถึงแม้เด็กๆ จะเริ่มต้นด้วยการรู้จักความแตกต่างของเพศชายและเพศหญิงก่อน แต่คุณพ่อคุณแม่ควรสอนให้ลูกทำความรู้จักกับความหลากหลายทางเพศ ยอมรับ เข้าใจ และเคารพในตัวตนของคนอื่นเสมอ
COMMENTS ARE OFF THIS POST