ช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา เราอาจจะพอได้เห็นภาพหรือคลิปเด็กชายเกาหลีวัยกำลังซนสามคนกับคุณพ่อนักแสดงหนุ่ม ซงอิลกุก ที่พาลูกๆ ทั้งสามมาสร้างความสนุกสนานให้กับรายการ The Return of Superman—รายการกึ่งเรียลิตี้-วาไรตี้โชว์ของประเทศเกาหลี
ด้วยการคืนความสุขให้คุณแม่ที่เหนื่อยกับการเลี้ยงลูกมานานได้ถือโอกาสออกไปพักผ่อนนอกบ้านเป็นเวลา 48 ชั่วโมง และให้คุณพ่อเป็นผู้รับหน้าที่ดูแลเด็กๆ ในบ้าน หรือพาไปทำภารกิจพิเศษ เช่น พาลูกไปเที่ยวตามสถานที่ต่างๆ โดยไม่มีคุณแม่
ในขณะที่ครอบครัวอื่นมีลูกเล็กๆ กันเพียง 1-2 คน แต่คุณพ่อซงอิลกุกต้องรับภารกิจเป็นซูเปอร์แมนเลี้ยงลูกแฝดทั้งสามคน ไม่ว่าจะเป็นการทำอาหาร เล่นสนุก ไปจนถึงพาออกข้างนอก ทั้งตั้งแคมป์ ลากเรือ ปั่นจักรยาน หรือพาไปเดินขึ้นเขา ฯลฯ เห็นพลังล้นแบบนี้ แต่คุณพ่อแอบสารภาพว่า การเลี้ยงลูกสามคนนั้นเหนื่อยกว่าการทำงานแสดงเป็นไหนๆ
ความฮอตของคุณพ่อและแฝดทั้งสามก็มีส่วนทำให้เรตติ้งรายการขึ้นอันดับหนึ่งในประเทศเกาหลีติดต่อกันเป็นเวลา 40 กว่าสัปดาห์ แถมยังแจกความน่ารักสดใสกระจายไปทั่วเอเชีย ทำเอาสาวๆ หลายคนยกไม้ยกมืออยากเป็นแม่ (ยก) ให้เด็กๆ ทั้งสามกันเป็นทิวแถว
Timeline
15 มีนาคม 2008 ซงอิลกุกแต่งงานกับจองซึงฮยอน
16 มีนาคม 2012 กำเนิดลูกแฝดสาม แทฮัน มินกุก มันเซ
มิถุนายน 2014 สามแฝดเข้าร่วมรายการ The Return of Superman Episode 34 ในขณะที่อายุได้ 2 ปี 3 เดือน
กุมภาพันธ์ 2016 ออกจากรายการเพื่อที่แฝดสามจะได้ใช้วัยเด็กและเข้าเรียนอย่างเต็มที่
สิงหาคม 2017 เดินทางไปอยู่ฝรั่งเศสกับแม่เป็นเวลา 1 ปี
12 ตุลาคม 2017 สามแฝดเดินพรมแดงที่ Busan International Film Festival (BIFF) ในวัย 5 ขวบ
ทำความรู้จักกับแฝดทั้งสามคน
แทฮัน (대한; Dae Han), มินกุก (민국; Min Guk) และ มันเซ (만세; Man Seh) ที่พอเอาชื่อมาต่อกันแล้วจะมีความหมายว่า ‘สาธารณรัฐเกาหลีจงเจริญ’ (Long Live the Republic of Korea) และความยูนีกทางลักษณะนิสัยของแต่ละคนนี่แหละ ที่เป็นเสน่ห์เฉพาะตัวมัดใจผู้ใหญ่หลายคนให้หลงรัก
แทฮัน
หนุ่มน้อยผู้มีความเป็นพี่ใหญ่อย่างเต็มเปี่ยม ทั้งที่ออกมาเจอโลกก่อนน้องๆ อีกสองคนแค่ไม่กี่นาที แต่อาจเป็นเพราะตอนที่อยู่ในท้อง พี่แทฮันเป็นคนที่อยู่ข้างล่างสุด คล้ายกับเป็นพี่ต้องแบกรับน้ำหนักของน้องทั้งสองเอาไว้ เขาจึงมีความสตรองที่สุด และมีบุคลิกที่ดูเป็นพี่ใหญ่ มีสมาธิ ถ้าจะทำอะไรแล้วก็จะมีความแน่วแน่ แต่ถึงอย่างนั้น พี่ใหญ่อย่างแทฮันก็ยังเป็นหนุ่มรักความสะอาด ขี้อาย และมีโลกส่วนตัวสูงไม่แพ้ใคร
เพราะความเป็นพี่ใหญ่และเชื่อฟังปะป๊าที่สุดในบรรดาสามคนพี่น้อง แทฮันจึงได้รับความไว้วางใจจากปะป๊าว่าจะสามารถดูแลน้อง แบ่งขนม ไปจนถึงป้อนข้าวให้น้องอีกสองคนได้
มินกุก
แฝดคนที่สอง ที่รักการกินและการร้องเพลงยิ่งกว่าสิ่งใด และเอาชนะใจสาวๆ ด้วยความแบ๊วและใบหน้ากลมๆ ของเขา ที่ทำให้เป็นที่จดจำง่ายที่สุดในบรรดาสามพี่น้อง
หนุ่มมินกุกยังขยันแจกความน่ารักสดใส ด้วยนิสัยขี้อ้อน ชอบกอดและหอมพี่น้อง แถมยังเป็นเด็กที่สามารถหลอกล่อได้ด้วยอาหาร จึงไม่น่าแปลกใจที่น้ำหนักมินกุกจะแซงหน้าพี่น้องไปก่อน
ที่โดดเด่นอีกอย่างเห็นจะเป็นนิสัยช่างซัก ช่างถาม และความจำดี อย่างเช่น เรื่องสายพันธุ์ไดโนเสาร์ ต้องมาท้าดวลกับมินกุก เพราะเด็กหน้ากลมคนนี้จะตอบไม่ผิดเลยแม้แต่ตัวเดียว
มันเซ
แฝดคนสุดท้อง ผู้เป็นสัญลักษณ์ของ free spirit คือควบคุมไม่ไหวและคาดเดาอะไรไม่ได้ ถ้าบอกให้ไปซ้าย มันเซจะไปขวา และถ้าห้ามทำอะไร มันเซก็จะต้องทำในทันที
มันเซเรียกตัวเองว่ามันเจะ (เพราะพูดไม่ชัด) ก็สามารถเอาชนะใจสาวๆ ด้วยความเกรียน ความเจ้าเล่ห์ ขี้อ้อน และเรียกเสียงฮาด้วยวีรกรรมแกล้งพี่ชายทั้งสองของตัวเองและพ่ออยู่หลายที เช่น เอาเกลือใส่ข้าวให้พ่อกิน
นอกจากขี้แกล้งแล้ว มันเซยังเป็นเด็กสายลุย เล่นทุกอย่างที่ตัวเองอยากเล่น ไม่กลัวคนแปลกหน้า เป็นมิตรกับทุกคนโดยเฉพาะสาวๆ
เลี้ยงลูกสไตล์ปะป๊าแฝดสาม
นอกจากความน่ารักของเด็กๆ ที่ถ่ายทอดออกมาทางหน้าจอโทรทัศน์แล้ว เรายังได้เห็นวิธีการสอนให้เด็กๆ หัดช่วยเหลือตัวเองและรู้จักแบ่งปันกันระหว่างพี่น้อง จนเป็นที่ชื่นชมของนักจิตวิทยา และเป็นตัวอย่างให้คุณพ่อคุณแม่อีกหลายครอบครัว
เราลองมาถอดบทเรียนการเลี้ยงลูกสไตล์ปะป๊าซงอิลกุกกันดู ว่าจะน่าสนใจขนาดไหน
ให้ลูกรู้จักช่วยเหลือตัวเอง
ตั้งแต่เริ่มรายการ เราจะได้เห็นปะป๊าซงอิลกุกหัดให้เด็กๆ ทำอะไรด้วยตัวเองเสมอ เช่น การกินอาหาร ถึงแม้จะดูเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่ที่จริงแล้วการกินข้าวด้วยตัวเอง เป็นการฝึกให้เด็กรู้จักคอนโทรลตัวเอง และสนุกกับการได้ทำอะไรเอง ไม่ว่าจะเป็นการใช้มือหยิบอาหารกิน ยกถ้วยน้ำซุปขึ้นซด เมื่อเด็กๆ ทำได้ เขาจะสนุกและภูมิใจที่ได้ทำอะไรด้วยตัวเอง และยังฝึกกล้ามเนื้อมัดเล็กให้ใช้งานได้อย่างคล่องแคล่ว
ไม่ใช่แค่กินอาหารได้ด้วยตัวเอง แต่ยังฝึกให้เด็กๆ ไม่เลือกกิน ในรายการเราจะเห็นแฝดทั้งสามสามารถกินผักได้อย่างสบายอารมณ์ และเมื่อกินอาหารเสร็จ ปะป๊าจะให้เด็กๆ ทำความสะอาดโต๊ะอาหารของตัวเอง เป็นวิธีการสอนให้เด็กรู้จักรับผิดชอบสิ่งที่ตัวเองทำเลอะเทอะไปในตัว
เป็นเด็กไม่ได้หมายความว่าต้องไม่มีเหตุผล
ซงอิลกุกเลี้ยงเด็กๆ ด้วยเหตุผลเหมือนการปฏิบัติกับผู้ใหญ่ ไม่ใช้อารมณ์และไม่เสียงดัง แต่จะใช้วิธีอธิบายเหตุผลและให้กำลังใจ
รักนะก็ต้องแสดงออก
อีกความน่ารักของปะป๊าและลูกแฝดทั้งสามก็คือ การแสดงออกซึ่งความรัก ไม่ว่าจะผ่านการกอด การหอม ซึ่งวัฒนธรรม skinship แบบนี้ จะพบเห็นได้บ่อยๆ ในสังคมครอบครัวเกาหลี
สำหรับเด็กๆ แล้วการกอดการหอมถือเป็นการเติมพลัง และแสดงความรักให้ลูกรู้สึกปลอดภัย รวมไปถึงการเล่นกับลูก ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างพ่อลูกและพี่น้องเหนียวแน่น อีกอย่างที่น่าเอาไปปรับใช้ก็คือ ปะป๊าซงจะชมลูกทันทีเมื่อเห็นพวกเขาทำอะไรที่น่าพอใจ เช่น พ่อชอบที่หนูทำแบบนี้ หนูเก่งจังเลย หนูเป็นคนกล้าหาญมาก เราจะเห็นได้ชัดว่าเด็กๆ จะภูมิใจเมื่อได้รับการชมเชย และเต็มใจที่จะทำพฤติกรรมดีๆ อย่างนั้นต่อไป
ไม่ได้สอนด้วยปากเปล่า แต่ทำให้ดูด้วย
ปะป๊าจะไม่สั่งสอนเด็กๆ ด้วยปากเปล่า แต่เขามักจะทำเป็นตัวอย่างให้เห็น เช่น การแสดงความเคารพต่อผู้ใหญ่ รวมถึงการพูดขอโทษและขอบคุณ ปะป๊าก็มักจะทำให้เด็กๆ ได้เห็นเองเช่นกัน
Magic of 10 Seconds
เมื่อเด็กๆ อยากเล่นของเล่นชิ้นเดียวกัน ปะป๊าก็เลยตั้งกฎให้แต่ละคนเล่นของเล่นแล้วนับ 1-10 เมื่อครบแล้วจึงเปลี่ยนมือให้คนอื่นได้เล่นบ้าง
สตรอว์เบอร์รี่ต้องแบ่งกันกิน อย่างอื่นก็เช่นกัน
เป็นบทเรียนไฮไลต์ที่สอนเรื่องการแบ่งปัน เมื่อปะป๊าให้เด็กๆ แบ่งสตรอว์เบอร์รี่กัน แต่มินกุกกลับกินสตรอว์เบอร์รี่ลูกสุดท้ายจนหมดโดยไม่แบ่งใคร ซงอิลกุกเลยให้สตรอว์เบอร์รี่แก่เด็กๆ อีกสองคนโดยไม่ให้มินกุก แล้วถามมินกุกว่ารู้สึกยังไงที่ไม่ได้รับการแบ่งปัน ซึ่งทำให้เด็กๆ เข้าใจความรู้สึกคนอื่นมากขึ้น และรู้จักที่จะแบ่งปันกัน
และบททดสอบต่อไปก็คือ ฝึกให้เด็กๆ รู้จักการรอคอย ด้วยการตกลงกันว่า ปะป๊าจะไปเอาของ ถ้ากลับมาแล้วใครยังรอโดยไม่กินสตรอว์เบอร์รี่ก็จะได้สตรอว์เบอร์รี่เพิ่มอีกหนึ่งลูก ซึ่งมันเซเป็นคนเดียวที่อดทนรอจนปะป๊ากลับมาได้
ไม่เป็นไรนะ
การกระทบกระทั่งเป็นเรื่องปกติของเด็กๆ เวลามาอยู่รวมกัน ถ้าเกิดใครทำให้อีกคนเจ็บก็ให้ขอโทษแล้วก็บอกกันว่า ไม่เป็นไร เป่าฟู่ๆ กอดและปลอบใจกัน เป็นการฝึกการให้อภัย เราจึงไม่ค่อยเห็นเด็กๆ แย่งชิงหรือทะเลาะกันจริงจัง
ให้เกียรติเด็กๆ
กฎอีกอย่างของปะป๊าและหม่าม้าบ้านนี้ก็คือ ถึงแม้จะเป็นลูกแฝด แต่เมื่อมีคนทำผิดปะป๊าจะตักเตือนหรือลงโทษแบบตัวต่อตัว และไม่ทำต่อหน้าคนอื่น เพื่อให้เด็กๆ ไม่รู้สึกอาย
ฝึกสงบอารมณ์ด้วย Thinking Chair
เมื่อเด็กๆ มีพฤติกรรมไม่เหมาะสม หรือไม่ทำตามข้อตกลง เช่น โวยวาย ขว้างปาข้าวของ ทะเลาะกัน ก็จะมีการฝึกวินัยด้วยวิธีการ Time Out โดยแยกเด็กๆ แต่ละคนกับเก้าอี้คนละตัว และให้นั่งหันหน้าเข้ากำแพงเป็นเวลา 5 นาที เพื่อสงบสติอารมณ์ของตัวเอง เมื่อเด็กๆ สงบลงจึงเข้าไปอธิบายว่าสิ่งที่ทำมันผิดอย่างไร และลงท้ายด้วยการกอดเพื่อปลอบใจกัน
อย่างไรก็ตาม วิธีนี้ก็มีข้อจำกัด เช่น พ่อแม่ควรจะตกลงกับลูกไว้ก่อนว่า นี่เป็นวิธีที่ช่วยให้เขาสงบอารมณ์ตัวเองได้ รวมถึงไม่ได้ใช้เพื่อการลงโทษ หรือขังเพื่อให้เขากลัว และระยะเวลาการทำโทษก็ไม่ควรนานเกินไปอีกด้วย
ความลำบากเป็นบทเรียนที่สำคัญ
ปะป๊าซงอิลกุกจะหาโอกาสพาลูกไปลองกิจกรรมใหม่ๆ เช่น บุกป่า ลุยโคลน ดูปลาโลมา อุ้มงูเหลือม ปีนภูเขา ไปจนถึงการแข่งไตรกีฬา และฝึกร่างกายที่ค่ายทหารซงอิลกุกจะค่อยๆ เกลี้ยกล่อมให้เด็กๆ ได้ลองในสิ่งที่ไม่เคยทำด้วยความสนุกสนาน และทดลองพบเจอกับความยากลำบากเล็กๆ น้อยๆ เพื่อที่จะบอกว่า ชีวิตมันไม่ได้สบายเสมอไป
ถึงแม้จะดูทรหดและไม่ใช่กิจกรรมที่เด็กๆ ชอบสักเท่าไร บางครั้งถึงขั้นงอแงและเสียน้ำตา แต่สุดท้ายการใช้เวลาร่วมกับพ่อก็ทำให้พวกเขารู้สึกปลอดภัยและมีความสุขอยู่ดี
และไม่ว่าจะกี่บทเรียนที่ปะป๊าซงอิลกุกได้ผ่านพ้นมากับเด็กๆ ต่างก็บอกเราว่า ข้างหน้ามีบทเรียนให้เรียนรู้อยู่เสมอ แต่ไม่ว่าอย่างไร ซูเปอร์แมนอย่างซงอิลกุกก็จะพาลูกๆ เหาะข้ามปัญหาไปได้ เหมือนกับคุณพ่อคุณแม่ทั้งหลาย …เพราะคุณพ่อคุณแม่มักจะเป็นซูเปอร์แมนของลูกเสมอ
NO COMMENT