ในยุคที่เทคโนโลยีก้าวล้ำไปไกล VR หรือ Virtual Reality ไม่ได้เป็นเพียงเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพในวงการบันเทิงหรือเกมอย่างที่หลายคนคุ้นเคย แต่เทคโนโลยีนี้ยังแผ่ขยายไปสู่วงการแพทย์และการศึกษาอย่างมาก
หนึ่งในเทคโนโลยีที่ถูกพูดถึงมากขึ้นในวงการจิตวิทยาเด็กก็คือ VR Therapy หรือการบำบัดด้วยเทคโนโลยีโลกเสมือนจริง (Virtual Reality Therapy) ที่สามารถช่วยลดความวิตกกังวล ฝึกการควบคุมอารมณ์ และส่งเสริมทักษะทางสังคมให้เด็กได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ยิ่งไปกว่านั้น VR Therapy ยังช่วยให้เด็กที่มีภาวะพิเศษ เช่น ออทิซึมหรือสมาธิสั้น ได้มีโอกาสฝึกฝนพฤติกรรมในสถานการณ์ต่างๆ ได้อีกด้วย
VR Therapy กับการเสริมพัฒนาการเด็ก
Virtual Reality Therapy หรือการบำบัดด้วยเทคโนโลยีเสมือนจริง ไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่เพิ่งมาได้รับความนิยมในวงการพ่อแม่ในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา หลังจากที่แพทย์และนักจิตบำบัดได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า การบำบัดด้วยเทคโนโลยีเสมือนจริงเป็นนวัตกรรมที่สามารถช่วยรักษาโรคสมาธิสั้น อาการวิตกกังวลและอาการหวาดกลัวต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่งได้จริง และยังสามารถนำมาปรับใช้ในการพัฒนาทักษะเด็กๆ ได้เช่นกัน
1. ฝึกสมาธิและการจดจ่อ (Focus & Attention)

หนึ่งในปัญหาที่คุณพ่อคุณแม่หลายคนพบเจอ คือลูกอยู่นิ่งได้ไม่นาน เบื่อง่าย และจดจ่อกับอะไรได้เพียงระยะเวลาสั้นๆ แต่การทำกิจกรรมในโลก VR ซึ่งน่าตื่นเต้นและมีความเสมือนจริง จึงดึงดูดความสนใจของเด็กๆ ได้มากกว่าการนั่งอ่านหนังสือเฉยๆ หรือของเล่นทั่วไป
คุณพ่อคุณแม่อาจเริ่มจากเกม VR ที่มีลักษณะเป็นภารกิจสั้นๆ ใช้เวลา 5-10 นาที แล้วสังเกตว่าลูกสามารถโฟกัสได้ครั้งละกี่นาที และค่อยๆ เพิ่มระยะเวลาฝึกในแต่ละวันให้นานขึ้น
2. พัฒนาทักษะทางสังคม (Social Skills)

เด็กแต่ละคนก็มีบุคลิกภาพแตกต่างกันออกไป บางคนขี้อาย ไม่กล้าคุยกับเพื่อน หรือบางคนก็ไม่ค่อยฟังเพื่อน VR สามารถช่วยจำลองสถานการณ์และเป็นคู่ฝึกซ้อมสนทนาให้เด็กๆ ได้ โดยไม่ต้องกังวลว่าจะพูดผิด หรือกลัวสายตาจริงๆ จากคนรอบข้าง เมื่อลูกคุ้นชินกับบทสนทนาแล้ว คุณพ่อคุณแม่อาจเสริมด้วยการเข้าไปเป็นคู่สนทนา เพื่อให้ลูกคุ้นชินกับการคุยกับคุยจริงๆ มากขึ้น
3. พัฒนาอารมณ์และการเข้าใจตนเอง (Emotional Intelligence)

อารมณ์ เป็นสิ่งที่ซับซ้อนและเข้าใจยากสำหรับเด็ก แต่อย่างไรก็ตาม คุณพ่อคุณแม่ควรสอนให้ลูกรู้จักกับอารมณ์ต่างๆ และวิธีการควบคุมตั้งแต่ยังเล็ก การบำบัดด้วยเทคโนโลยีเสมือนจริง มีบทบาทสำคัญในเรื่องนี้ เพราะสามารถจำลองสถานการณ์จริงได้ เช่น เมื่อโดนเพื่อนแกล้ง ถูกปฏิเสธ หรือเมื่อไม่ได้ของที่ต้องการ เพื่อให้ลูกได้ลอง รู้สึก และฝึกตอบสนองต่ออารมณ์อย่างเหมาะสม
4. เอาชนะภาวะหวาดกลัว (Phobias)

สำหรับเด็กที่มีความกลัวหรือภาวะหวาดกลัวเฉพาะเจาะจง เช่น กลัวความสูง กลัวสัตว์บางชนิด หรือกลัวการอยู่ในที่แคบ VR สามารถจำลองสถานการณ์ที่เกี่ยวข้องกับความกลัวนั้นๆ ในระดับที่ค่อยเป็นค่อยไปและควบคุมได้ ภายใต้การดูแลของผู้เชี่ยวชาญ ลูกจะค่อยๆ ได้เผชิญหน้ากับสิ่งที่กลัวในสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัย ทำให้ความกลัวค่อยๆ ลดลง
5. ส่งเสริมการเคลื่อนไหวและประสาทสัมผัส (Motor & Sensory Skills)

พัฒนาการด้านร่างกายก็สำคัญไม่น้อยไปกว่าการพัฒนาทักษะ โดยเฉพาะในเด็กวัยอนุบาลที่ยังต้องฝึกการประสานระหว่างกล้ามเนื้อ-ตา-สมอง แอปพลิเคชั่น VR หลายตัวออกแบบมาเพื่อให้เด็กๆ ได้ขยับร่างกาย เช่น เกมตีเทนนิส กระโดด เต้น หรือแม้แต่หลบสิ่งกีดขวาง ซึ่งจะช่วยให้ลูกได้ออกกำลังกาย พัฒนากล้ามเนื้อ และประสาทสัมผัสไปพร้อมกัน
COMMENTS ARE OFF THIS POST