ช่วงหลายสัปดาห์ก่อน เด็กๆ คงจะพอได้ยินว่า “ประเทศไทยกำลังจะซื้อเรือดำน้ำเป็นของตัวเองแล้ว” และสิ่งที่เด็กหลายคนอยากรู้ ก็คงจะหนีไม่พ้นเรือดำน้ำของจริงจะเหมือนกับภาพที่เคยเห็นในหนังสือนิทาน การ์ตูน หรือของเล่นที่เคยนึกฝันอยากได้มาครอบครองหรือเปล่านะ

เรือดำน้ำมีหน้าที่อะไรบ้าง

– เรือดำน้ำเป็นเรือรบที่สามารถอยู่ได้ทั้งบนผิวน้ำและใต้น้ำ ถูกนำมาใช้ในการสงครามและการค้นคว้าสำรวจใต้ทะเลลึกในบริเวณที่มนุษย์เราไม่สามารถดำลงไปได้ด้วยการสวมชุดประดาน้ำ

– เรือดำน้ำถูกออกแบบมาเพื่อให้สามารถอยู่ในน้ำลึกได้ ด้วยตัวลำเรือที่ถูกออกแบบให้มีผนังสองชั้น เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้คนสามารถอยู่ในเรือได้อย่างปกติ แม้ว่าจะอยู่ในน้ำลึกมากแค่ไหนก็ตาม

– ปัจจุบันเรือดำน้ำถูกนำไปใช้สำหรับการสำรวจซากเรือโบราณ, การวางสายเคเบิลใต้น้ำ, การหาร่องรอยของแผ่นดินไหว และการศึกษาเกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตใต้ทะเล

แล้วเรือดำน้ำมีวิธีการดำน้ำได้ยังไงล่ะ?

เรือดำน้ำใช้ถังบัลลาสต์ (ballast) ควบคุมการลอยตัว หากต้องการให้เรือจมอยู่ใต้น้ำต้องใส่น้ำเข้าถังจนเต็ม แต่ถ้าหากว่าอยากให้เรือโผล่ขึ้นมาบนผิวน้ำ ต้องไล่น้ำออกจากถังและอัดอากาศเข้าไปแทนที่

ส่วนระบบการทำงานของเรือดำน้ำ เป็นแบบผสมผสานกันระหว่างระบบเครื่องยนต์ดีเซล และมอเตอร์ไฟฟ้า เมื่อเรือลอยอยู่บนผิวน้ำจะใช้ระบบเครื่องยนต์ดีเซล แต่ในขณะที่เรือจมอยู่ใต้น้ำก็จะสลับไปใช้ระบบไฟฟ้า

คุณสมบัติของเรือดำน้ำ

รุ่นที่ทางกองทัพเรือไทยให้ความสนใจ เป็นเรือดำน้ำหยวน คลาส เอส 26 ที (Yuan ClassS26T) ซึ่งถูกต่อขึ้นในประเทศจีน เป็นเรือดำน้ำขนาดกลาง ยาว 77.6 เมตร กว้าง 8.4 เมตร บรรจุคนได้ถึง 150 คน มีความเร็วบนผิวน้ำ 16 นอต และความเร็วสูงสุดขณะดำน้ำ 23 นอต

ในส่วนของเครื่องยนต์ใช้เทคโนโลยี AIP (Air Independent Propulsion) เป็นระบบใช้เครื่องยนต์ดีเซล ใช้อากาศหมุนเวียน มีออกซิเจน และเชื้อเพลิงอยู่ในตัวเรือดำน้ำ ซึ่งทำให้สามารถดำอยู่ใต้น้ำได้เป็นเวลานาน 21 วัน หรือประมาณ 3 สัปดาห์

ประเทศไทยเคยเป็นประเทศแรกในอาเซียนที่มีเรือดำน้ำ

ในอดีต ประเทศไทยถือเป็นชาติแรกในประเทศอาเซียนที่มีเรือดำน้ำเข้าประจำการ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2481 ก่อนจะปลดระวางในปีพ.ศ. 2494 หลังจากประจำการอยู่นานเกือบ 13 ปี

มีวัน ‘เรือดำน้ำไทย’ ด้วยนะ

พ.ศ. 2478 สภาผู้แทนราษฎรในขณะนั้น ได้อนุมัติให้กองทัพเรือต่อเรือดำน้ำ จำนวน 6 ลำ และประเทศไทยได้ทำสัญญาว่าจ้างต่อเรือดำน้ำกับบริษัท มิตซูบิชิ จากประเทศญี่ปุ่นให้ต่อเรือดำน้ำ จำนวน 4 ลำ ราคาลำละ 820,000 บาท โดยเรือดำน้ำทั้งสี่ลำได้รับพระราชทานชื่อว่า

– เรือหลวงมัจฉาณุ

– เรือหลวงวิรุณ

– เรือหลวงสินสมุทร

– เรือหลวงพลายชุมพล

ซึ่งทางบริษัทมิตซูบิชิสร้างเรือหลวงมัจฉาณุ และเรือหลวงวิรุณเสร็จก่อน จึงได้ส่งมอบให้แก่กองทัพเรือไทย ในวันที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2480 จึงถือให้วันที่ 4 กันยายนของทุกปี เป็น ‘วันเรือดำน้ำไทย’

อ้างอิง
thematter
tonkit360
sanook
thansettakij
thairath