READING

INTERVIEW: น้องเอตะ—จากเด็กกินยากสู่แชมป์มาสเตอร์เ...

INTERVIEW: น้องเอตะ—จากเด็กกินยากสู่แชมป์มาสเตอร์เชฟจูเนียร์ไทยแลนด์

น้องเอตะ

ความเดิมตอนที่แล้ว คือเราได้คุยกับน้องซันจิ แชมป์มาสเตอร์เชฟจูเนียร์ไทยแลนด์ซีซั่นที่ 3 แต่เนื่องจากซีซั่นนี้ไม่ได้มีแชมป์เพียงคนเดียว เพราะฝีมือการทำอาหารของคู่ชิงแชมป์อีกคน ก็เก่งกาจไม่แพ้กัน

น้องเอตะ—เอกตระการ เชี่ยวพัทธยากร เด็กชายวัย 11 ปี คือแชมป์อีกคนแห่งรายการมาสเตอร์เชฟจูเนียร์ไทยแลนด์ ซีซั่นที่ 3

ด้วยบุคลิกพูดเก่ง ขี้เล่น และอารมณ์ดี จนเป็นที่จดจำ แต่เมื่อลงมือทำอาหาร เขาก็จะกลายเป็นเด็กที่มีความจริงจังและมุ่งมั่นทำสิ่งที่อยู่ตรงหน้าให้ดีที่สุด

วันนี้เราชวน คุณแม่เบลล์—อนิลทิตา เชี่ยวพัทธยากร และน้องเอตะ พักการทำอาหารแล้วมาพูดคุยเรื่องการแข่งขันที่ผ่านมาให้พวกเราฟังอีกครั้ง

น้องเอตะดูเป็นเด็กที่มีความมั่นใจ และกล้าพูดกล้าคุยมาก อยากรู้ว่าครอบครัวเลี้ยงน้องอย่างไร

คุณแม่เบลล์: ด้วยความที่เบลล์มีลูกเร็ว เราก็จะเลี้ยงแบบสบายๆ เหมือนเพื่อน ไม่ได้เข้มงวดอะไรมาก แต่ก็จะศึกษาข้อมูลอยู่บ่อยๆ ว่าทำแบบนั้นดีไหม ทำแบบนี้ได้หรือเปล่า แต่หลักๆ ก็จะเน้นการส่งเสริมให้ลูกทำกิจกรรม ได้ลองทำอะไรใหม่ๆ ถ้าเขาชอบหรืออยากลองทำอะไรก็เต็มที่ได้เลย

 เช่น พาไปเรียนฟุตบอล เรียนร้องเพลง ลองก่อนแล้วค่อยดูว่าชอบหรือไม่ชอบ ถ้าไม่ชอบก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าชอบก็จะสนับสนุนต่อไปเรื่อยๆ

แล้วหันมาเริ่มเข้าครัวได้อย่างไร

คุณแม่: เมื่อก่อนเราอยู่ที่จังหวัดร้อยเอ็ด เอตะเป็นเด็กกินยาก และโตในบ้านที่ผู้ใหญ่ไม่ค่อยเข้าครัว เขาก็เลยไม่ได้สนใจด้านทำอาหารมาก่อน ปกติรอกินอย่างเดียว (หัวเราะ) แต่จุดเปลี่ยนคือตอนที่เอตะย้ายมาเรียนที่กรุงเทพฯ ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกันกับน้องชายคุณแม่ หรือ กู๋บิ๊ก (เชฟบิ๊ก—อรรถสิทธิ์ พัฒนเสถียรกุล แชมป์ TOP CHEF Thailand 2023) กำลังเปิดร้านอาหารฝรั่งเศสพอดี เขาก็เลยชวนหลานมาลองทำงานที่ร้านซึ่งเอตะก็ชอบ

น้องเอตะ: เวลาวันเสาร์อาทิตย์ที่ไม่มีอะไรทำ กู๋บิ๊กก็จะชวนผมไปช่วยทำงานครับ ช่วยเสิร์ฟ ช่วยรับออเดอร์ ช่วยล้างจานครับ

ซึ่งทำให้ได้ลองเข้าครัวด้วย?

คุณแม่: ใช่ค่ะ พอได้คลุกคลีในครัวบ่อยๆ เขาได้ลองทำอาหารกินเอง ได้ชิมอาหาร ก็เลยสนใจการทำอาหารมากขึ้น แล้วก็กลายเป็นเด็กที่กินง่ายขึ้นด้วย

เหตุผลที่ตัดสินใจสมัครลงแข่งขันในรายการมาสเตอร์เชฟจูเนียร์ไทยแลนด์

คุณแม่: ตอนนั้นเห็นว่ารายการกำลังเปิดรับสมัคร ก็เลยถามเอตะว่าอยากลองดูไหม เขาก็บอกว่าอยากลอง เราก็โอเค จากนั้นเอตะก็อยากให้กู๋บิ๊กช่วยสอนทำอาหาร แต่กู๋บิ๊กก็บอกว่าถ้าเอตะจริงจังถึงจะสอน เอตะก็บอกว่าเขาจริงจัง แต่พอได้สอนกันมาสักพัก กู๋บิ๊กก็บอกว่าเอตะมีความสามารถบางอย่างที่ไม่เหมือนใคร เช่น เป็นคนหัวไว มือไว และคงจะไม่ถูกค้นพบถ้าไม่ได้ลองมาทำอาหาร

แปลว่าช่วงที่สมัครลงแข่งขัน ก็ยังทำอาหารไม่เก่งมากหรือเปล่า

คุณแม่: ใช่ค่ะ นับตั้งแต่วันที่ยื่นใบสมัคร ไม่ถึงหนึ่งเดือนทางรายการก็เรียกไปออดิชั่น ซึ่งก่อนหน้านั้นเราแพลนทริปไปเที่ยวกันหลายประเทศ แต่พอผ่านรอบออดิชั่น เราก็ถามเขาว่าจะเอายังไงดี ให้เขาเลือก

น้องเอตะ: ตอนนั้นผมบอกว่า ผมไม่ไปเที่ยวครับ ผมจะอยู่แข่งขัน

ถ้าเป็นคนอื่นเขาน่าจะอยากไปเที่ยวมากกว่า

น้องเอตะ: ผมมีความตั้งใจครับ มันเป็นความฝันของผม  ถ้าตอนนั้นเราเลือกที่จะไปเที่ยว ก็แปลว่าผมไม่ได้ชอบทำอาหารจริงๆ มันเหมือนผมมาเล่นๆ แต่ผมไม่ได้มาเล่นๆ ครับ

แสดงว่าน้องเอตะมีพัฒนาการการทำอาหารที่ดีมาก ยิ่งช่วงท้ายของการแข่งขัน ยิ่งมีโดดเด่นอย่างเห็นได้ชัด

คุณแม่: ใช่ค่ะ ปกติเวลาที่เอตะทำอาหาร เขาจะทำเฉพาะเมนูที่ตัวเองชอบกิน แต่พอช่วงฝึกซ้อม เขาได้ลองจัดการกับวัตถุดิบยากๆ และเป็นสิ่งที่เขาไม่ชอบกิน เช่น เครื่องใน ตีนไก่ ล็อบสเตอร์ ซึ่งวัตถุดิบบางอย่างก็ได้ใช้แข่งขันจริง แต่บางอย่างที่ไม่ได้ซ้อม แล้วมาเจอตอนแข่งก็ทำให้เขากดดันมากเหมือนกัน

เป็นเมนูที่ทำให้เกือบตกรอบหรือเปล่า

น้องเอตะ: ใช่ครับ ตอนนั้นผมตกใจและเศร้ามาก นี่อาจจะเป็นจุดจบของเราแล้วก็ได้ เราคงไม่มีโอกาสได้แชมป์แล้ว เรายืนอยู่ปากเหวแล้ว แต่ว่าในใจก็ยังหวังว่าตัวเองจะรอด

“จะบอกเอตะตลอดว่า อยากให้ตั้งใจทำให้ดีที่สุด การทำอาหารมันไม่มีถูกผิด มีแค่ชอบหรือไม่ชอบ ถ้าเราทำเต็มที่แล้ว ก็ไม่ต้องเสียใจ”

ตอนนั้นแก้ปัญหายังไง

น้องเอตะ: ผมก็คิดว่าจะทำยังไงดีและแก้ปัญหาให้เร็วที่สุด เอาเมนูที่เคยทำมาประยุกต์ครับ

คุณแม่: เบลล์จะบอกเอตะตลอดว่า อยากให้ตั้งใจทำให้ดีที่สุด การทำอาหารมันไม่มีถูกผิด มีแค่ชอบหรือไม่ชอบ ถ้าเราทำเต็มที่แล้ว ก็ไม่ต้องเสียใจ

การแข่งขันช่วงแรกเสร็จ พอเขาออกมาเล่าว่าตัวเองยืนอยู่ที่ปากเหว เราก็ถามเขาว่ากรรมการมีฟีดแบ็กยังไงบ้าง เขาก็บอกว่าจืด ไม่มีรสชาติ เราเลยเข้าใจว่าพอเป็นอาหารไทย รสมือเด็กจะอ่อนมาก ตอนนั้นเลยทำบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปให้เอตะกิน แล้วบอกว่าอาหารไทยต้องมีรสชาติจัดแบบนี้ เขากินแล้วก็ร้องว่าเผ็ด เราก็บอกเอตะว่าจำความเผ็ดนี้เอาไว้ให้ได้ แล้วเอาไปปรุงให้ได้รสชาติเผ็ดแบบนี้ พอกินเสร็จก็เข้าไปแข่งขันบททดสอบต่อไป ซึ่งก็ได้ถูกคัดเลือกเป็นอาหารจานที่ดีที่สุดคนแรก

การเพิ่งเริ่มทำอาหารแล้วไปแข่งขัน เคยคิดไหมว่าจะสามารถคว้าแชมป์มาได้

คุณแม่: ยอมรับว่าในใจลึกๆ ก็คาดหวังอยากให้เขาได้แชมป์ แต่ถ้าไม่ได้ ก็เชื่อว่าเอตะทำเต็มที่แล้ว เพราะน้องๆ คนอื่นก็เก่งมาก ตอนที่ประกาศผู้ชนะว่าเป็นน้องซันจิ เราก็ดีใจกับเขา ยังหันไปบอกกับคุณแม่น้องว่ายินดีด้วยนะ แต่พอสักพักกรรมการประกาศต่อว่าผู้ชนะมีน้องเอตะด้วย เราก็ตกใจ แต่สุดท้ายแล้วก็ดีใจและภูมิใจในตัวเขามาก

เอตะรู้สึกยังไง ตอนที่ได้ยินว่ามีชื่อตัวเองเป็นผู้ชนะอีกคน

น้องเอตะ: ภูมิใจมากเลยครับ เราทำความฝันตัวเองสำเร็จแล้ว มันดีใจและเป็นความรู้สึกที่อธิบายไม่ได้

ฝึกซ้อมอย่างไรในเวลาที่มีจำกัด

คุณแม่: ช่วงแรกๆ เอตะไปเรียนตามปกติ แต่กว่าจะเริ่มซ้อมทำอาหารได้ก็ประมาณสี่ทุ่ม คือหลังร้านอาหารปิด เพราะเป็นช่วงเวลาที่ครัวและกู๋บิ๊กจะว่าง แต่ตอนหลังเราก็เห็นว่ามันหนักเกินไปสำหรับเขา เพราะต้องไปแอบงีบที่โรงเรียน ก็เลยขอทางโรงเรียนว่าคงต้องหยุดเรียนบ้าง ซึ่งทำให้เห็นเลยว่าเอตะตั้งใจกับการแข่งมาก

ย้อนไปกลับช่วงแข่งขัน เมนูหรือบททดสอบไหนที่รู้สึกชอบและประทับใจมากที่สุด

น้องเอตะ: ราเมงตีนไก่และข้าวซอยเนื้อวากิวครับ ผมรู้สึกว่าทำออกมาแล้วดีเกินคาด แล้วมันเป็นเมนูที่เพอร์เฟ็กต์

คุณแม่: เอตะจะเริ่มทำอาหารจากเมนูที่ชอบกินก่อน ถ้าเมนูไหนที่เขาไม่ชอบ เขาก็จะไม่อยากทำ ซึ่งอาหารที่เอตะชอบกินส่วนใหญ่จะเป็นอาหารฝรั่ง อาหารญี่ปุ่น และที่ไม่ค่อยถนัดคืออาหารไทย อย่างเมนูตีนไก่ เป็นสิ่งที่เขากินไม่เป็นแล้วต้องมาทำ เบลล์คิดว่าเหมือนเขาได้ชาเลนจ์ตัวเองไปด้วย แล้วพอทำได้เขาก็ภูมิใจในตัวเองมาก

นอกจากสกิลการทำอาหารแล้ว คิดว่าการไปแข่งขันทำให้ได้สกิลอะไรติดตัวกลับมาบ้าง

น้องเอตะ: แก้ปัญหาเฉพาะหน้าแล้วก็การตัดสินใจที่รวดเร็วครับ ได้ความรู้ ได้ประสบการณ์ ได้หลายอย่างเลยครับ

คุณแม่: พอได้ลงแข่งขัน ทำให้เราใช้เวลาด้วยกันมากขึ้น ได้รู้จักเขามากขึ้น ทำให้รู้ว่าบางอย่างเขาคิดแบบนี้ เพราะตอนแข่งขัน เราก็ไม่ได้เห็นว่าข้างในสถานการณ์เกิดอะไรขึ้นบ้าง แต่พอแข่งเสร็จเด็กๆ ก็จะวิ่งมาเล่าให้พ่อแม่ฟังว่าเป็นยังไงบ้าง ซึ่งพอเรามาดูตอนรายการออกอากาศอีกที ก็ได้เห็นว่าเอตะเขามีไอเดียของตัวเอง และเขามีสิ่งที่อยากจะโชว์ในสิ่งที่ทำ

นอกจากการทำอาหารแล้ว เอตะชอบทำอะไรอีกบ้าง

น้องเอตะ: ชอบเล่นกีฬาครับ แล้วก็เล่นเกมด้วย

ตอนนี้ได้เป็นแชมป์อย่างที่ฝันไว้แล้ว ในอนาคตอยากทำอะไรอีกบ้าง

น้องเอตะ: อยากเปิดร้านอาหารฝรั่งเศสครับ แล้วก็อยากเล่นกีฬาครับ เพราะเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้ผมมีความสุขรองจากทำอาหาร

สุดท้าย คุณแม่กับเอตะอยากบอกอะไรกับคนที่ชอบทำอาหารและมีความฝันเหมือนกับเอตะ

คุณแม่: อยากจะบอกคุณพ่อคุณแม่ทุกคนว่าถ้าลูกชอบทำอะไร อยากให้สนับสนุนดูก่อน เพราะมันไม่ได้เสียหายอะไร ไม่ต้องคาดหวังว่าลูกจะเป็นโปรเฟสชันนอลแต่แค่เปิดโอกาสให้ลูกได้ทำ ให้เขามีประสบการณ์ดูก่อน ต่อให้วันหนึ่งเขาไม่ชอบหรือไม่อยากทำแล้วก็ไม่เป็นไร

น้องเอตะ: อยากให้ลองทำก่อนครับ ถ้าทำไม่ได้ก็ลองดูต่อไปว่าตัวเองอยากทำอะไร เพราะเราอาจจะเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ก็ได้

สัมภาษณ์วันที่ 22 กันยายน 2567

Supinya R.

ชอบอ่านนิยายสยองขวัญ ชอบเขียนไดอารี่ และเป็นคุณแม่จำเป็นในบางเวลา :-)

RELATED POST

COMMENTS ARE OFF THIS POST