READING

คุยกับณัฐพงศ์ ไชยวานิชย์ผล—โอโต้ซัง (คุณพ่อ) มือให...

คุยกับณัฐพงศ์ ไชยวานิชย์ผล—โอโต้ซัง (คุณพ่อ) มือใหม่ในประเทศญี่ปุ่น

มีหลายอย่างที่เรารู้จักเกี่ยวกับ ณัฐพงศ์ ไชยวานิชย์ผล หรือนัทคุง—คอลัมนิสต์ นักเขียน นักแปล ที่คร่ำหวอดอยู่ในแวดวงไทย-ญี่ปุ่น เรารู้จักเขาผ่านหนังสือ บทความ หรือข้อเขียนที่เกี่ยวกับแนวคิด ความเป็นอยู่ และวัฒนธรรมญี่ปุ่นเชิงลึก ตามประสาคนที่เคยไปร่ำเรียนอยู่ที่ประเทศญี่ปุ่นมานาน

เท่านั้นยังไม่พอ พี่นัทคุงยังมีภรรยาเป็นคนญี่ปุ่น ที่หลังจากแต่งงานก็พากันย้ายมาใช้ชีวิตอยู่ที่เมืองไทยเป็นหลัก ก่อนที่ไม่นานมานี้ ออกจะเป็นเรื่องน่าตื่นเต้นสักหน่อย เมื่อจู่ๆ พี่นัทคุงผู้ไม่เคยบอกใครว่าภรรยาตั้งท้อง ก็โพสต์ในเฟซบุ๊กส่วนตัวว่าภรรยาสุดที่รักใกล้จะคลอดลูกชายคนแรกและครอบครัวของเขากำลังจะย้ายไปอยู่ที่ญี่ปุ่นอย่างถาวร

และตอนนี้ พี่นัทคุงก็ได้กลายร่างเป็นโอโต้ซังมือใหม่ เมื่อน้อง อคิราห์ (Akira) ลูกชายสุดที่รักได้ลืมตาออกมาทันชมซากุระบานพอดี

เพราะแบบนี้ เราจึงอยากถามพี่นัทคุงถึงประสบการณ์วันแรกคลอด (ของภรรยา) ในสายตาของคุณพ่อคนไทยผู้ตกลงปลงใจให้ลูกไปลืมตาครั้งแรกในประเทศญี่ปุ่น ว่าแล้วก็เปิดอินบอกซ์แล้วพิมพ์ความอยากรู้อยากเห็นไปทิ้งไว้ (ตามประสาคนขี้เผือก) รอให้คุณพ่อกลับมาตอบหลังจากฝึกอาบน้ำลูกเสร็จ

แล้วคุณพ่อก็ส่งข้อความตอบกลับมา ในเวลาตีสามของประเทศญี่ปุ่น (อืม ท่าจะหนักสินะ…)

นิดนก: ที่ญี่ปุ่นมีการนัดวันคลอดตามฤกษ์มงคลหรือผูกดวงเวลาตกฟากเอาไว้แล้วเหมือนเมืองไทยหรือเปล่า

อันนี้แล้วแต่เวรแต่กรรม เพราะญี่ปุ่นเขาไม่ได้เน้นผ่าคลอด คือไม่ได้มีการเลือกหมอว่าจะคลอดกับคนนั้นคนนี้ ที่นี่เน้นคลอดด้วยวิธีธรรมชาติ ดังนั้นเราก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเมียเราจะคลอดตอนไหน

นิดนก: แล้วเหตุการณ์วันคลอดเป็นอย่างไร น้ำคร่ำแตกแล้วก็ไปกันแบบด่วนๆ หรือเปล่า

ก่อนคลอดวันนึง เมียเราปวดท้องหนักมากก็ขับรถพาไปโรงพยาบาล แล้วก็นอนรอในห้องดูอาการ แต่พยาบาลมาเช็กปากมดลูกดูแล้วบอกว่ายังไม่น่าจะคลอด เลยกลับบ้านไปตอนเย็น แต่สุดท้ายพอตีสี่ตีห้า เมียก็ปวดท้องเหมือนจะคลอดอีก คราวนี้เลยโทร. คุยกับโรงพยาบาล เขาก็บอกให้ไปเตรียมตัวคลอดได้เลย แต่ไม่ได้ฉุกเฉินถึงขนาดน้ำคร่ำแตกอะไรนะ คือเขาจะนับว่าปวดท้องกี่ครั้ง ระยะห่างต่อครั้งนานแค่ไหน แล้วสุดท้ายต้องให้หมอช่วยเจาะน้ำคร่ำอีกทีนึง

นิดนก: ไม่แน่ใจว่าพี่เคยเห็นห้องคลอด หรือห้องพักฟื้นหลังคลอดที่เมืองไทยไหม อยากรู้ว่าที่ญี่ปุ่นต่างจากไทยยังไง ในเรื่องบรรยากาศห้อง

เราไม่ค่อยแน่ใจว่าของเมืองไทยเป็นยังไงเพราะไม่มีประสบการณ์ เคยเห็นเพื่อนที่มีเงินหน่อยเขาก็ให้เมียเขานอนห้องเดี่ยว แต่ของเราที่ญี่ปุ่น เราเลือกโรงพยาบาลเอกชน เพราะน้องสาวเมียเคยไปคลอดแล้วบอกว่าดีมาก จ่ายแพงกว่ากันนิดหน่อย แต่หลังคลอดจะได้อยู่ห้องเดี่ยว ซึ่งรู้สึกเหมือนถูกกักกันโรคเลย เพราะเขาจะแยกพื้นที่ที่มีเฉพาะแม่เด็กกับเด็ก ให้แค่สามี และปู่ย่าตายายเข้าไปเยี่ยมเท่านั้น ขนาดน้องสาวเมียยังเข้าไปเยี่ยมไม่ได้เลย แล้วก็อยู่ในนั้นห้าคืนเต็ม เวลาเราจะเข้าออกก็ต้องให้เขาเปิดประตูวอร์ดให้ ล้างมือ และใส่หน้ากากก่อนเข้าทุกครั้ง แล้วเขาจะถามด้วยว่ามีอาการป่วยไข้อะไรมาหรือเปล่า ถ้ามีก็เข้าไม่ได้เลย

ส่วนห้องที่อยู่ก็สะดวกสบาย เหมือนโรงแรมขนาดเล็ก มีเตียง โซฟาเบด (ให้เรานอน) เก้าอี้นั่ง ทีวี เตียงเด็ก ห้องน้ำ ห้องอาบน้ำ เป็นสัดเป็นส่วน แต่ครบครันมาก เลิฟ รู้สึกว่าห้องเล็กแต่สะดวกสบายมาก

นิดนก: การฝากท้อง ค่าใช้จ่าย และสวัสดิการสำหรับคุณแม่ที่ญี่ปุ่นเป็นยังไงบ้าง

เราไม่แน่ใจของโรงพยาบาลรัฐนะ แต่คิดว่าเขาน่าจะมีสวัสดิการครอบคลุมจนแทบจะไม่ได้จ่าย แต่ของเมียเราฝากท้องกับโรงพยายาลเอกชนเฉพาะทางเลย (โรงพยาบาลสูตินรีเวช)

เราย้ายมาญี่ปุ่นแล้วก็ฝากท้องกับโรงพยาบาลที่นี่ตอนเมียอายุครรภ์ 5 เดือนแล้ว แต่มีบันทึกจากตอนที่เคยฝากท้องที่เมืองไทยมาด้วย หลังจากนั้นเขาก็จะนัดวันตรวจเป็นประจำ ไปแต่ละครั้งก็จะมีอัลตราซาวด์ มีการสแกนสามมิติ แล้วเขาจะมีแฟลชไดรฟ์เอาไว้เซฟรูปให้เราเลย เราจะเห็นจอบันทึกข้อมูลของหมอ เขาจะมีบันทึกว่ามาวันไหน มีกราฟฟิกให้เห็นแต่ละครั้งว่าเด็กตัวขนาดไหน อยู่ท่าไหน ละเอียดดีนะ

ส่วนค่าใช้จ่ายแต่ละครั้ง ถ้าไม่มีการให้ยาอะไรก็ถูกมาก บางทีไปจ่ายแค่ 200 เยน (ประมาณ 60 บาท) ยังเคยเลย

นิดนก: ตกลงเลือกหมอทำคลอดได้ไหมคะ (อย่างในเมืองไทยก็จะมีหมอดังๆ ที่คนจะตามไปฝากท้องด้วยเยอะๆ)

อย่างที่บอกว่าเมียเราไม่ได้ผ่าคลอด ก็เลยเลือกหมอไม่ได้ แล้วแต่ว่าไปโรงพยาบาลแล้วมีหมอคนไหนอยู่เวรวันนี้ แต่ที่โรงพยาบาลก็มีหมอประจำอยู่ไม่กี่คนหรอก หลักๆ คนที่ดูแลจะเรียกว่าโจะซังชิ  (助産師) หรือผู้ช่วยทำคลอด จะเรียกว่าหมอตำแยยุคใหม่ก็ได้ ที่โรงพยาบาลจะมีประมาณเกือบสี่สิบคน แต่หมอมีไม่ถึงสิบคนเลยด้วยซ้ำ แล้วก็มีพยาบาลจริงๆ แค่ห้าคนได้มั้ง

ซึ่งผู้ช่วยทำคลอดนี่แหละที่เป็นคนเข้ามาดูแลตลอดการคลอด ท้องบีบแค่ไหน ปากมดลูกเปิดยังไง กระทั่งตอนคลอดจริง หมอก็แค่เข้ามาดูตอนคลอดแล้วก็มาเย็บแผลแค่นั้นเอง

นิดนก: บรรยากาศตอนเบ่งคลอดเป็นอย่างไรบ้าง หมอตำแยบิลด์เหมือนในละครไหม

เขาก็จะวนมาดูเรื่อยๆ จนถึงเวลาจริงเขาก็จะมาช่วยให้กำลังใจ เอ้า เบ่งนะ ฮึบ หายใจลึกๆ นะ เอ้า เบ่งนะ ฮึบ ประมาณนี้ แล้วลูกเราบิลด์ไม่ขึ้น เบ่งยังไงก็ไม่ยอมออกมาสักที ก็เลยมีมือเก๋าคนนึง ปีนขึ้นเตียงมาคร่อมเมียเรา แล้วเอาสองมือกดท้องด้านบนช่วยไล่เด็กออกมาเลย เห็นตอนนั้นเราก็ได้แต่ร้อง เหยดดดดดดดดด

นิดนก: หลังจากน้องคลอดออกมาแล้ว ได้ซื้อแพ็กเกจปั๊มมือเท้าทองใส่กรอบรูปหลุยส์เหมือนเมืองไทยไหมนะ

อันนี้ไม่มีอะ โรงพยาบาลเขาไม่ได้ฮาร์ดเซลอะไรแบบนี้เลย ยกเว้นเรื่องวัคซีน นี่เราก็อยากมีกับเขาเลยสั่งจาก Amazon มาปั๊มเอง เสือกปั๊มพลาด ออกมาไม่สวยอีก…

นิดนก: เอาจริงๆ หลังคลอดแล้วเป็นยังไงบ้าง เขามีหมอหรือพยาบาลมาให้คำแนะนำอะไรบ้าง

คลอดแล้วเขาจะแยกลูกไปนอนในห้องเด็ก แต่ก็จะมีพาเข้ามาให้เราเล่นด้วย คือนอนห้าคืนนี่ไม่ใช่นอนเล่นนะ เมียเราโคตรยุ่ง มีกำหนดเวลาว่าตอนนี้ไปเรียนอาบน้ำเด็ก เวลานี้ไปเรียนป้อนนม มีกิจกรรมตลอดเลย ดึกๆ ก็โดนปลุกไปให้นมลูก ส่วนเราไปนอนด้วยสามคืน ก็ไม่ค่อยมีประโยชน์อะไรนอกจากช่วยหาซื้อของ นอกนั้นก็นั่งทำงานด๊อกด๋อยของตัวเองไป

นิดนก: นอกจากสอนคุณแม่เตรียมความพร้อมเบื้องต้น ที่โรงพยาบาลมีอะไรสนับสนุนให้บ้าง เช่น พวกข้าวของเครื่องใช้ทารก

ของใช้นี่มีให้แบบโคตรพร้อม เขามีไว้ให้เป็นถุงผ้าใหญ่ๆ เลย ทั้งผ้าอ้อม ทั้งเสื้อผ้าเด็ก เราว่าอยู่ได้สัปดาห์นึงโดยไม่ต้องซื้ออะไรเองเลย แล้วก็มีมาสอนใช้ถึงห้องด้วย เรียกได้ว่าช่วยได้เยอะมาก คนที่มาคลอดแล้วไม่มีพ่อแม่มาช่วยดูแลก็อยู่เองได้สบายๆ แถมมีให้กระทั่งแผ่นแม่เหล็กติดรถที่เขียนว่า Baby on Board ให้หยิบไปใช้ได้เลย เหมือนโฆษณาให้โรงพยาบาลเขาไปในตัว

นิดนก: โรงพยาบาลที่ญี่ปุ่นเน้นเรื่องให้ลูกกินนมแม่มากหรือน้อยแค่ไหนคะ เขาเข้ามายุ่งกับนมเมียพี่บ่อยไหม

เขาก็หัดให้แม่ให้นมลูกเองนะ แต่ก็แล้วแต่คนด้วย เพราะท้องแรก แม่บางคนก็ไม่มีนม แต่เขาก็มีเซลขายนมผงมาโปรโมตถึงห้องนะ อันนี้น่าจะดีลกับโรงพยาบาลไว้แล้ว ซึ่งเป็นโมเมนต์ที่รู้สึกว่าพานิชย์สุดละ

นิดนก: นโยบายเกี่ยวกับการปั๊มนมเป็นอย่างไร

ที่นี่เขาไม่ได้เน้นให้ใช้เครื่องปั๊มนมเลย เน้นฝึกให้นมตามธรรมชาติเป็นหลัก ถ้านมแม่ไม่พอก็ชงนมผสมเอา

นิดนก: ที่ญี่ปุ่น บทบาทของคุณพ่อกับการเลี้ยงลูก โดยเฉพาะช่วงทารกเป็นยังไงบ้าง เพราะเข้าใจว่าคนญี่ปุ่นน่าจะยกให้เรื่องการเลี้ยงลูกเป็นหน้าที่แม่เป็นหลัก

ตอนนี้เขาพยายามโปรโมตเรื่อง Ikumen คือการที่คุณพ่อช่วยเลี้ยงลูก ช่วยแบ่งเบาภาระจากเมีย แต่สส. คนที่เป็นหัวหอกผลักดันเรื่องนี้ และเป็นคนที่เสนอให้ผู้ชายสามารถลาหยุดเลี้ยงลูกได้ ดันมาโป๊ะแตกว่านอกใจเมียก็เลยเสียภาพลักษณ์ไปหมด

ส่วนเราเองตอนนี้ก็ทำงานอิสระ รับแปลนั่นนี่ไปเรื่อย เลยอยู่บ้านช่วยดูแลลูกได้ ตื่นมานั่งชงนมทุกสามชั่วโมง ขับรถพาเมียไปตรวจ ก็ทำเท่าที่จะทำได้น่ะ

นิดนก: สวัสดิการเกี่ยวกับเด็กแรกเกิดของญี่ปุ่นเป็นอย่างไรบ้าง เช่น ค่าคลอด, วัคซีน ฯลฯ

ส่วนมากอะไรต่อมิอะไรเขามีงบช่วยหมดเลย เพระเขาอยากให้มีเด็กเกิดเยอะๆ ฝากท้อง ทำคลอด ก็เสียเงินเพิ่มหน่อย พอแจ้งเกิดเขาก็มีแจ้งว่าได้สิทธิอะไรบ้าง ได้เงินช่วยเลี้ยงดูหมื่นกว่าเยนต่อเดือน มีคูปองสำหรับซื้อผ้าอ้อมให้  แถมที่น่ารักคือ พอแจ้งเกิดแล้วเขาจะถามว่าอยากให้ประกาศลงหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นไหม ฟรีนะ ที่นั่นเขาจะลงประกาศเพื่อให้คนร่วมฉลองเด็กเกิดใหม่ ก็น่ารักดี แต่เราไม่ทันได้เห็นของลูกตัวเอง มีเพื่อนของน้องเมียเขาเห็น เขาคงจำได้จากชื่อพ่อที่ยาวกว่าชาวบ้าน เลยมั่นใจว่าเป็นลูกเรา

นิดนก: สเต็ปหลังคลอดพ่อแม่ต้องทำอะไรต่อไป เช่น นัดแรกหลังจากกลับบ้านแล้ว?

หลังจากนอนโรงพยาบาลห้าคืน หลังจากนั้นก็มีนัดสัปดาห์แรก สองสัปดาห์ แล้วก็เดือนแรก เขาจะมีสมุดแม่และเด็ก ซึ่งมีรายละเอียดของแม่ตั้งแต่ตอนท้อง พอลูกคลอดออกมาแล้ว ก็จะต้องมาบันทึกว่าวันหนึ่งลูกกินนมกี่ครั้ง ครั้งละกี่ซีซี มีข้อมูลเรื่องสีของอึลูก บอกว่าแบบไหนปกติแบบไหนน่าเป็นห่วง ซึ่งสมุดนี้ที่โรงพยาบาลในกรุงเทพฯ ที่มีคนญี่ปุ่นมาฝากท้องเยอะๆ ก็มีขาย

นิดนก: ที่ญี่ปุ่นมีคอมมูนิตี้หรือกรุ๊ปไลน์คุณแม่ไหม

ยังไม่เคยเห็นกรุ๊ปไลน์นะ อาจจะเพราะยังไม่ได้ไปเข้าร่วมอะไร แต่ที่โรงพยาบาลก็มีจัดกิจกรรมเรื่อยๆ โยคะคุณแม่ สอนลูกทำนั่นทำนี่ สอนลูกหย่านมงี้ เท่าที่ส่องๆ ดูก็เห็นคุณแม่หลายคนเขาสนิทกัน แต่ไม่รู้ว่าถึงขนาดมีไลน์กันไหม เพราะคิดว่าเขาค่อนข้างมีกำแพงกันมากกว่าคนไทยนะ

นิดนก: พูดเรื่องกำแพง อยากรู้ว่าที่โน่นมีกฏหมาย หรืออะไรที่เกี่ยวกับการคุ้มครองเด็กในโลกออนไลน์ยังไงบ้าง

ไม่ได้มีกฎหมายอะไรหรอก แต่คนญี่ปุ่นเขาค่อนข้างระวังตัว คนญี่ปุ่นถึงใช้เฟซบุ๊กน้อยกว่าทวิตเตอร์ เพื่อนญี่ปุ่นของเราบางคนก็ไม่เคยโพสต์ให้เห็นหน้าลูกเลย แต่บางคนก็โชว์หน้าลูก แต่ไม่ให้เห็นหน้าตัวเอง เอ๊า! แต่หลักๆ ก็คือคนที่นี่มีความระมัดระวังตัวระดับหนึ่ง ซึ่งเราก็เคยคุยกับเมียเรื่องนี้ สรุปของครอบครัวเราก็คือโพสต์ให้เห็นหน้าบ้าง แต่พยายามไม่โพสต์ว่าทำอะไรอยู่ที่ไหนแบบเรียลไทม์

อีกอย่างนึงคือ เราได้ยินว่าบางคนเขาก็ห่วงความรู้สึกคนอื่น เขาไม่รู้ว่าการโพสต์รูปลูกอย่างมีความสุขจะไปกระทบใจคนที่มีลูกยากอะไรงี้หรือเปล่า ก็จัดว่าห่วงสายตาคนรอบข้างน่ะ แต่เท่าที่เห็นเพื่อนญี่ปุ่นของเราก็ไม่ค่อยมีพ่อแม่ประเภทที่โพสต์รูปลูกทั้งวันนะ

นิดนก: มีพิธีกรรมหรือความเชื่อเกี่ยวกับเด็กอ่อนบ้างไหม เช่น ห้ามออกนอกบ้าน ห้ามสระผม โกนผมไฟ…

ไม่ค่อยแน่ใจ เราไม่ค่อยได้ยินอะไรแบบนี้ แต่ว่าพอลูกครบเดือนนึงแล้วเขาจะพาไปรับพรจากศาลเจ้า (ไม่ใช่วัดนะ) ก็ถือว่าเป็นพิธีสำคัญเหมือนกัน ต้องเช่าชุดสวยๆ ให้ลูกใส่ไปรับพร เดี๋ยวลูกเราครบเดือนแล้วก็จะไปเหมือนกัน

นิดนก: คุณแม่ญี่ปุ่นลางานเลี้ยงลูกได้กี่เดือน สวัสดิการด้านนี้ของที่นั่นเป็นอย่างไรบ้าง

เรื่องนี้ก็ไม่ค่อยแน่ใจอีก เพราะเมียเราก็ไม่ได้ทำงานประจำที่ญี่ปุ่นไง แต่เขามีสองอย่างคือ ลาคลอดและลาเลี้ยงบุตร รวมๆ กันก็น่าจะได้เป็นปี แต่อาจจะได้เงินเดือนประมาณ ⅔ ซึ่งก็ถือว่าเยอะดีนะ เห็นคนรู้จักบางคนกว่าจะกลับไปทำงานเขาก็หยุดมาเป็นปี เราก็คิดว่าดี เพราะว่าจะได้เลี้ยงลูกให้เต็มที่ แต่อยากให้ฝ่ายพ่อขอลาหยุดแบบนี้ได้ด้วย เพราะเลี้ยงเด็กคนนึงนี่มันต้องใช้พลังงานเยอะจริงๆ

นิดนก: คำถามสุดท้าย เช็กบิลออกจากโรงพยาบาลจ่ายไปทั้งหมดกี่เยน

จ่ายไปทั้งหมดประมาณห้าหมื่นกว่าเยน (ประมาณ 14,000 บาท) เป็นการจ่ายส่วนต่างจากสวัสดิการที่จังหวัดเขาจะมีให้คนละประมาณสี่แสนเยน ถ้าไม่นับวันแรกที่ไปนอนดูอาการแล้วไม่คลอดก็จะประหยัดไปอีกเยอะ ดังนั้นคนที่คลอดโรงพยาบาลรัฐก็เลยเหมือนได้คลอดฟรี ถ้าค่าใช้จ่ายเขาไม่เกินเงินสวัสดิการ

ที่เจ๋งคือมื้อเย็นก่อนออกจากโรงพยาบาล เขามีรายการอาหารพิเศษมาให้คุณแม่เลือกเป็นการฉลอง ถ้าสามีจะกินด้วยก็สั่งเพิ่มมาฉลองด้วยกันได้ ซึ่งค่าใช้จ่ายประมาณนี้ นอนโรงพยาบาลเอกชนที่เมืองไทยได้คืนเดียวเองมั้ง

 

สัมภาษณ์เมื่อวันที่ 21 มีนาคม 2562

Nidnok

‘นิดนก’ เป็นคุณแม่ของน้อง ณนญ / เป็นนักเขียนสาวเชิงรุก เจ้าของผลงานหนังสือ 'POWER BRIDE เจ้าสาวที่กลัวสวย' และ 'TO BE CONTINUE- โปรดติดตามตอนแต่งไป'

RELATED POST

COMMENTS ARE OFF THIS POST