ครูเป็นหนึ่งในอาชีพที่มีบทบาทสำคัญต่อการสร้างและหล่อหลอมตัวตนของเด็กๆ ซึ่งถือเป็นอนาคตของสังคม เพราะครูไม่ได้ทำหน้าที่แค่ถ่ายทอดความรู้ทางวิชาการ แต่ยังเป็นคนสร้างแรงบันดาลใจ และปลูกฝังคุณค่าในชีวิตให้กับเด็กๆ ต่อไป
เราเคยพูดคุยกับ ครูอิ๊ฟ—กุลสินี บำรุงศักดิ์ ในฐานะของคุณครูอนุบาลรุ่นใหม่ไฟแรงผู้เต็มไปด้วยความรักและความตั้งใจที่จะทำให้เด็กๆ เรียนรู้และเติบโตอย่างมีความสุขแต่ครั้งนี้ ครูอิ๊ฟเปลี่ยนบทบาทของตัวเองจากคุณครูอนุบาล สู่การเป็นเจ้าของ Daisy International Nursery เนอร์เซอรี่น้องใหม่ในซอยสุขุมวิท 34
เราจึงกลับมาขอพูดคุยกับครูอิ๊ฟเกี่ยวกับการขยับขยายความฝัน การเปลี่ยนแปลงบทบาทหน้าที่ และการรับมือกับเด็กวัยเนอร์เซอรี่จะเหมือนหรือต่างจากงานของคุณครูอนุบาลมากแค่ไหน

ขอเริ่มที่การเปิด Daisy International Nursery
เป็นแพลนที่วางเอาไว้เป็นสิบกว่าปีแล้วว่าอยากมีโรงเรียนเป็นของตัวเอง จำได้เลยว่าตอนที่เพื่อนรู้ว่าเรากำลังจะทำโรงเรียนของตัวเอง เพื่อนดีใจร้องไห้เลย (หัวเราะ) เพราะเขารู้ว่าเรากำลังทำความฝันของตัวเองสำเร็จ
เราอยากทำให้ที่แห่งนี้เป็นพื้นที่ที่ปลอดภัยสำหรับเด็กๆ ทุกคนบนโลก เพราะครูอิ๊ฟรู้สึกว่าโลกภายนอกจะใจร้ายกับเขามากเลยนะ ในวันที่เขาเติบโตขึ้น ก็เลยอยากทำโลกที่ใจดีให้มีอยู่จริงในใจเขา เพื่อเป็นสร้างพื้นฐานความแข็งแรงในจิตใจให้กับเด็กๆ
นอกจากความรักเด็กแล้ว คนที่จะเปิดโรงเรียนของตัวเองต้องมีคุณสมบัติอะไรอีกบ้าง
เยอะมาก (หัวเราะ) เมื่อก่อนเราอยู่กับเด็ก เราก็จะโฟกัสแค่ตัวเราและเด็กๆ ไม่มีเรื่องอะไรให้ต้องคิดเยอะ อย่างมากก็แค่เครียดว่าจะเตรียมกิจกรรมอะไรให้เด็กๆ ทำดี หรือจะเตรียมสื่อการสอนอะไรให้เด็กๆ ทำบ้าง ในทุกๆ ความคิดของเราจะเกี่ยวกับเด็กไปหมดเลย แต่ตอนนี้บริบทของเราเปลี่ยนไปเยอะมาก ไม่ใช่แค่คุณครูที่ต้องอยู่กับเด็กแล้ว จากที่เราเคยอยู่เบื้องหน้าตอนนี้เราต้องขยับถอยออกมาเพื่อให้เห็นภาพในมุมกว้างมากขึ้น แน่นอนว่าเราจะต้องซัปพอร์ตเด็กให้ได้มากที่สุด แต่เราก็ต้องซัปพอร์ตคุณครูด้วย ครูอิ๊ฟจะคอยคุยกับคุณครูทุกคน เช่น ถ้าคุณครูอยากทำอะไร ครูอิ๊ฟก็จะทำด้วย เพียงแต่ไม่ได้เป็นคนที่ออกหน้า แต่ทุกๆ เบื้องหลังไม่ว่าจะเป็นกิจกรรมหรือแผนการสอน เราก็จะมีขอบเขตไว้ให้คุณครู โดยที่มีตัวเราเองในการทดลองเป็นเด็ก (หัวเราะ) แล้วเราก็จะเป็นเด็กซนและพยายามทำให้ยากที่สุดเพื่อเป็นประสบการณ์ให้กับคุณครูว่าถ้าเจอเคสแบบนี้ เขาจะต้องรับมืออย่างไร
นอกจากดูแลใส่ใจเด็ก เราก็ต้องดูแลและใส่ใจคุณครูด้วย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องภาระหน้าที่หรือแม้แต่การทำงานร่วมกัน ส่วนตัวครูอิ๊ฟจะไม่สบายใจถ้าต้องทำให้ใครคนหนึ่งต้องรู้สึกว่าอยู่ภายใต้คำสั่งตลอดเวลา แต่อยากให้เคารพกันด้วยความสามารถ ครูอิ๊ฟอยากให้คุณครูมีโอกาสช่วยกันจัดการเรียนการสอน เพราะแนวทางของที่นี่เราต้องการให้เด็กทุกคนเป็นตัวเอง ดังนั้น คุณครูต้องได้เป็นตัวเองก่อน เขาถึงจะถ่ายทอดพลังงานเหล่านี้ให้กับเด็กๆ ได้

เตรียมตัวนานไหม ถึงตัดสินใจว่าต้องทำแล้วล่ะ
ถ้าถามว่านานไหม ต้องบอกว่าเตรียมตัวตลอดเวลา แต่สิ่งสำคัญคือเตรียมใจมากกว่า ด้วยความที่เราเป็นคุณครูในโรงเรียนมาก่อน ก็เลยพอจะรู้ว่าปัญหาเรื่องไหนที่อาจเกิดขึ้นได้บ้าง ซึ่งครูอิ๊ฟไม่ได้นั่งหาข้อมูลว่าถ้าเกิดเหตุการณ์แบบนี้จะต้องทำยังไง แต่จะคิดว่าถ้าเกิด worst case เราจะทำยังไง บางอย่างเราก็ไม่รู้หรอกว่าจะแก้ปัญหายังไง แต่ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นเราต้องตั้งสติ เพราะถ้าหากเราเจอเหตุการณ์นั้นจริงๆ เราก็จะไม่แตกตื่นมาก เพราะเตรียมใจมาแล้ว
แนวทางของ Daisy Intertional Nursery
ที่นี่เราใช้แนวทาง EYFS ซึ่งเป็นหลักสูตรแกนกลางจากประเทศอังกฤษ หลักสูตรนี้จะเน้นการดึงเอกลักษณ์เฉพาะตัวบุคคล ซึ่งเราดึงเฟรมเวิร์กของแนวทางนั้นมาใช้ หมายความว่า ถ้ามีเด็กสิบคน เราก็จะเตรียมกิจกรรมหลายอย่าง หรือถ้ามีกิจกรรมเดียวเราก็จะมีของหลายอย่างเพื่อให้เด็กๆ เลือกได้ตามความถนัดและความสนใจ เราก็จะรู้ว่าเด็กคนไหนชอบอะไรหรือมีความสามารถตรงไหน ทำให้เราสนับสนุนเด็กได้ถูกทาง ส่วนวิธีการสอนเราก็จะใช้วิธีการเรียนรู้ผ่านการเล่น (play base learning) เป็นหลักค่ะ
“ถ้าเราสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเรียนรู้ของเด็ก มันก็จะเข้าไปอยู่ในตัวของเขา ถ้าถึงวัยที่เหมาะสมเขาก็จะไปได้เร็ว เพราะเขาซึมซับมันทุกวัน”

ต้องเน้นเรื่องการเตรียมเด็กวัยเนอร์เซอรี่เพื่อเข้าสู่วัยอนุบาลด้วยหรือเปล่า
ในประเทศไทยมักจะเข้าใจว่าเนอร์สเซอรีเป็นการดูแลเด็กวัยก่อนอนุบาล แต่ตามหลักสูตร EYFS คือการดูแลเด็กในวัย 0-5 ปี ผู้ปกครองหลายคนก็กังวลว่าถ้าลูกไม่ได้เรียนอนุบาล จะเข้าชั้น ป.1 ไม่ได้ แต่จริงๆ แล้วการเข้าประถมศึกษา ไม่จำเป็นต้องใช้วุฒิอนุบาล เพียงแต่อายุถึงเกณฑ์และมีพัฒนาการที่เหมาะสมก็สามารถเข้าเรียนประถมได้เลย
แต่ถ้าถามว่าถ้าจะเตรียมตัวให้ลูกเพื่อเข้าสู่วัยอนุบาลยังไงบ้าง แน่นอนว่าวัยนี้จะต้องฝึกการช่วยเหลือตัวเองเบื้องต้นและกิจวัตรประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นการฝึกเลิกขวดนม เลิกใส่ผ้าอ้อม สามารถบอกความต้องการของตัวเองได้ และการกินข้าวเอง ซึ่งที่ Daisy International Nursery เราก็จะฝึกให้เขากินอาหารของผู้ใหญ่แต่ในปริมาณของเด็ก ครูอิ๊ฟคิดว่าการฝึกสิ่งเหล่านี้สำหรับเด็กวัยนี้สำคัญกว่าการฝึกให้เด็กท่องอะไรต่างๆ ไม่ใช่ว่าวิชาการไม่สำคัญนะ เพียงแต่ว่าถ้าเราสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเรียนรู้ของเด็ก มันก็จะเข้าไปอยู่ในตัวของเขา ถ้าถึงวัยที่เหมาะสมเขาก็จะไปได้เร็ว เพราะเขาซึมซับมันทุกวัน

แล้วเด็กที่เรียนเนอร์เซอรีไปจนถึงวัยที่ต้องเข้าชั้นประถมฯ พัฒนาการจะเหมือนกับเด็กที่เรียนอนุบาลแล้วเข้าชั้นประถมฯ หรือเปล่า
จริงๆ เหมือนกันค่ะ อย่างที่ Daisy International Nursery เราจะแบ่งออกเป็น 3 กรุ๊ปตามช่วงวัย เด็กที่โตขึ้นวิธีการเรียนการสอนก็จะเปลี่ยนไป มีความเข้มข้นมากขึ้น อย่างกรุ๊ป 3-6 ขวบ ถึงเวลาที่จะต้องเรียนรู้การเขียนมากขึ้น เรียนรู้การอ่านมากขึ้น ก็จะเอาสิ่งเหล่านี้มาสอดแทรกในกิจกรรม เช่น การบันทึก แม้ช่วงแรกๆ เขาอาจจะบันทึกไม่รู้เรื่อง แต่เขาได้ฝึกใช้ดินสอและขีดเขียน
ในมุมมองของผู้ปกครองอาจมองว่า เด็กต่างวัยและมีพัฒนาการที่แตกต่างกัน มาเรียนร่วมกัน อาจกลายเป็นทำให้เด็กที่โตกว่ามีพัฒนาการถดถอยหรือเปล่า
ครูอิ๊ฟมองว่าการที่เด็กโตมาเรียนร่วมกับเด็กเล็กแล้วมีพัฒนาการถดถอย อาจเป็นเพราะคุณครูใช้วิธีการเดียวกันในการดูแลเด็กทุกคน ไม่ได้ดึงศักยภาพเฉพาะตัวบุคคลออกมา เด็กที่เรียนรู้ช้าก็พยายามทำสิ่งนั้นให้ได้ แต่เด็กที่เรียนรู้ไว เขาทำได้แล้วก็ไม่รู้จะต้องทำอะไรต่อ ต้องมารอเพื่อนแล้วก็เบื่อ สุดท้ายพัฒนาการเขาก็ไปต่อไม่ได้

แล้วถ้าเด็กที่โตพอที่จะเข้าอนุบาลหรือประถมฯ แต่ความพร้อมยังไม่ได้เลย ต้องทำอย่างไร
จริงๆ เราก็สามารถสังเกตได้ เพราะเรามีประเมินพัฒนาการอย่างสม่ำเสมอ ถ้าหากมีกรณีแบบนี้เราจำเป็นต้องคุยกับคุณพ่อคุณแม่และหาทางออกร่วมกัน เช่น ปรึกษานักพัฒนาการ เพราะถ้าเราช้าเกินไปเด็กอาจจะพัฒนาต่อได้ยาก เรื่องนี้ก็เป็นเรื่องสำคัญสำหรับที่นี่มาก เราเลยอยากให้ผู้ปกครองมีส่วนร่วมกับเราและเข้าใจในวิถีทางของเรา
ส่วนตัวครูอิ๊ฟจะชอบทำเนอร์เซอรีทัวร์เพื่ออธิบายให้ผู้ปกครองฟังอย่างละเอียดว่าโรงเรียนของเรามีแนวทางแบบไหน ผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร และที่สำคัญคือที่บ้านและที่ Daisy จะพัฒนาเด็กๆ ไปในแนวทางเดียวกัน หากวิธีแตกต่างกันมากเกินไปอาจทำให้เด็กสับสนได้ เช่น ที่ Daisy เด็กได้ฝึกการช่วยเหลือตนเอง อย่างการกินอาหารและการแต่งตัวเอง แต่เมื่อกลับบ้านกลับถูกดูแลอย่างใกล้ชิด เด็กอาจสับสนว่าตนเองทำได้หรือไม่ ซึ่งอาจส่งผลต่อพัฒนาการความสามารถในการดูแลตนเองในระยะยาวอีกด้วย ครูอิ๊ฟจะบอกเด็กๆ เสมอว่าที่นี่ไม่มีการบ้าน การบ้านเดียวที่มีคือการเก็บรายละเอียดทุกอย่างที่โรงเรียนไปเล่าให้คุณพ่อคุณแม่ฟัง หรือมีคำถามที่สงสัยให้กลับไปถามคุณพ่อคุณแม่ แล้วหาคำตอบร่วมกัน เช้าวันถัดมามาเล่าให้เราฟัง ก็เป็นอีกหนึ่งวิธีที่จะช่วยสังเกตได้ว่าเด็กมีปัญหาตรงไหนหรือมีเรื่องไหนไม่สบายใจ แล้วก็ยังช่วยแก้ปัญหาลูกไม่ยอมเล่าให้ฟังอีกด้วย
จริงๆ แล้วจำเป็นต้องให้ลูกเข้าเนอร์เซอรี่ หรือ Pre-Kindergarten หรือเปล่า ครูอิ๊ฟจะแนะนำอย่างไร
ถามว่าจำเป็นไหม อันนี้ก็ขึ้นอยู่กับความสบายใจของผู้ปกครอง ถ้าคุณพ่อคุณแม่มีเวลาดูแลลูก สอนลูก เล่นกับลูกอย่างเต็มที่ อันนี้ก็ไม่จำเป็น แต่ก็มีเสียงจากผู้ปกครองหลายคนเคยพูดกับครูอิ๊ฟว่า เขารู้สึกว่าการที่ให้ลูกได้อยู่กับคุณครู ก็รู้สึกว่าลูกได้อะไรมากกว่าการที่เล่นกับคุณแม่ เราจะสังเกตได้ว่าเด็กที่เรียนเนอร์เซอรีมาก่อน จะไปได้ไวและเข้ากับคนอื่นได้ง่าย เพราะโรงเรียนมีกฎกติกา มีขอบเขตในการอยู่ร่วมกับผู้อื่น เหมือนเขาเตรียมความพร้อมมาก่อน นอกจากนี้เขาได้เรียนรู้โลกแห่งความเป็นจริง เขาไม่ได้มีสังคมแค่ที่บ้าน เรียกได้ว่าเนอร์เซอรีเหมือนเป็นพื้นที่เตรียมความพร้อม ถ้าส่วนตัวคุณพ่อคุณแม่พร้อมและสะดวกแนวทางนี้ ก็มองเป็นอีกตัวเลือกหนึ่งได้
“ที่นี่ไม่ใช่แค่ฝากเลี้ยง เราไม่ใช่แค่เลี้ยงให้เด็กกินข้าว กินนมนอน แล้วจบไปในแต่ละวัน แต่เรากำลังสร้างมนุษย์ให้เป็นมนุษย์ เรากำลังสร้างมนุษย์ที่มีหัวใจให้มีหัวใจ เพราะเรารู้ว่าโลกภายนอกมันมีอะไรมากมายอยู่ในอนาคต เรากำลังสร้างหัวใจของมนุษย์ให้แข็งแรงขึ้นและสามารถออกไปอยู่กับโลกภายนอกได้ แก้ปัญหาได้ เอาตัวรอดได้ และสามารถใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคมได้อย่างมีความสุข”

หรือบางคนเข้าใจว่าเนอร์เซอรีก็คือการฝากเลี้ยงลูกหรือแค่มีคนอยู่เป็นเพื่อนลูกก็พอ ครูอิ๊ฟมีมุมมองเรื่องนี้อย่างไร
ครูอิ๊ฟขอพูดในมุมของ Daisy International Nursery แล้วกัน ว่าที่นี่ไม่ใช่แค่ฝากเลี้ยง เราไม่ใช่แค่เลี้ยงให้เด็กกินข้าว กินนมนอน แล้วจบไปในแต่ละวัน แต่เรากำลังสร้างมนุษย์ให้เป็นมนุษย์ เรากำลังสร้างมนุษย์ที่มีหัวใจให้มีหัวใจ เพราะเรารู้ว่าโลกภายนอกมันมีอะไรมากมายอยู่ในอนาคต เรากำลังสร้างหัวใจของมนุษย์ให้แข็งแรงขึ้นและสามารถออกไปอยู่กับโลกภายนอกได้ แก้ปัญหาได้ เอาตัวรอดได้ และสามารถใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคมได้อย่างมีความสุข พูดแบบนี้ดูเหมือนเป็นโรงเรียนโลกสวยนะ (หัวเราะ) แต่เราทำแบบนั้นจริงๆ เราพยายามทำให้ทุกนาทีที่เด็กๆเข้ามาที่นี่ได้เรียนรู้และอยู่ในโลกของความเป็นจริงตลอดเวลา
“ครูอิ๊ฟเชื่อว่าครูหลายคนมีความตั้งใจในการทำงาน และหลายๆ คนก็รักในอาชีพนี้ เขาไม่ใช่แค่ทำงานแล้วรับเงินเดือน ไม่ใช่แค่เลี้ยงเด็กแล้วกลับบ้าน แต่เขากำลังช่วยผลิตทรัพยากรที่มีคุณภาพต่อไปในอนาคต”

ตอนนี้ครูอิ๊ฟมีประสบการณ์ทั้งจากการเป็นคุณครูจนถึงเป็นเจ้าของโรงเรียน มีอะไรที่อยากบอกถึงพ่อแม่ ผู้ปกครอง คุณครู หรือสังคมของเราบ้างไหม
จริงๆ เราอยากพูดกับทุกคนบนโลกที่ไม่ใช่แค่พ่อแม่ เราอยากให้ทุกคนเห็นความสำคัญของเด็ก เด็กยิ่งเล็กยิ่งสำคัญ ตอนนี้ผู้ใหญ่อย่างเราเป็นเหมือนฐานสามเหลี่ยม ฐานเรายิ่งแน่นแค่ไหน เด็กๆ ของเราที่อยู่บนยอดนั้นก็ยิ่งแข็งแรง
แล้วก็อยากให้ทุกคนเห็นความสำคัญกับอาชีพครู ครูอิ๊ฟเชื่อว่าครูหลายคนมีความตั้งใจในการทำงาน และหลายๆ คนก็รักในอาชีพนี้ เขาไม่ใช่แค่ทำงานแล้วรับเงินเดือน ไม่ใช่แค่เลี้ยงเด็กแล้วกลับบ้าน แต่เขากำลังช่วยผลิตทรัพยากรที่มีคุณภาพต่อไปในอนาคต
COMMENTS ARE OFF THIS POST