READING

INTERVIEW: ฟาง—ณัฐพงศ์ หน่อชูเวช คุณพ่อที่เลือกใช้...

INTERVIEW: ฟาง—ณัฐพงศ์ หน่อชูเวช คุณพ่อที่เลือกใช้ชีวิตให้มีเวลาสำหรับครอบครัวเสมอ

เมื่อตกลงใจที่จะสร้างครอบครัว คงปฏิเสธไม่ได้ว่าทุกคู่สามีภรรยาย่อมอยากมีชีวิตคู่ที่ราบรื่น มั่นคง และยืนยาวให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ยิ่งเมื่อตัดสินใจว่าจะมีลูกเพิ่มเข้ามาเป็นสมาชิกใหม่ของครอบครัว การประคับประคองสถานะและความสัมพันธ์อันดีระหว่างกัน ย่อมเป็นสิ่งที่พ่อแม่ทุกคนคาดหวังและตั้งใจทำเพื่อให้ลูกได้เติบโตในครอบครัวที่พร้อมและสมบูรณ์

แต่ก็ต้องยอมรับว่า ไม่ว่าจะพยายามเท่าไร บางครั้งการตัดสินใจสิ้นสุดสถานะสามีภรรยาและช่วยกันดูแลลูกตามหน้าที่ของคุณพ่อคุณแม่ก็เป็นทางออกที่ดีสุดเท่าที่ครอบครัวหนึ่งจะตัดสินใจร่วมกันได้

และเพื่อต้อนรับเดือนแห่งวันพ่อ เรามีโอกาสพูดคุยกับ คุณพ่อฟาง—ณัฐพงศ์ หน่อชูเวช ที่แม้จะไม่ได้อยู่ร่วมกับภรรยา แต่ก็ยังคงความเป็นครอบครัว Co-Parenting แบ่งหน้าที่และช่วยกันดูแล น้องพริม—ลูกสาววัย 5 ขวบ ร่วมกับคุณแม่ของน้องเช่นเดิม

ยิ่งเมื่อเราเห็นความใกล้ชิดสนิทสนมของคุณพ่อฟางกับน้องพริม—เด็กหญิงผู้สนุกกับการโพสท่ายิมนาสติกให้เราถ่ายรูปเหลือเกิน ความสดใสร่าเริงและแววตาที่มีความสุขของเธอก็ทำให้เราเข้าใจความหมายของคำว่าเลี้ยงลูกร่วมกันที่คุณฟางพูดถึงได้เป็นอย่างดี

ปกติเป็นครอบครัวที่มีแนวทางการเลี้ยงลูกอย่างไร

ตั้งแต่พริมเกิด เขาก็อยู่ในครอบครัวที่มีพ่อแม่และปู่ย่าตายายอยู่ด้วยกัน แล้วก็เลี้ยงด้วยกันมาตลอด ถามว่ามีปัญหาไหม มันต้องมีอยู่แล้ว เพราะความเห็นไม่ค่อยตรงกัน ปู่ย่าตายายเขาก็จะมีวิธีการเลี้ยงเด็กคนละแบบ เอาที่เห็นชัดๆ เช่น เวลาเราจะห้ามไม่ให้ลูกทำอะไรบางอย่าง เราจะบอกเหตุผลว่าหรือทำไมเราถึงห้าม หรือทำไมเขาถึงไม่ควรทำอย่างนั้น แต่ถ้าเป็นปู่ย่าตายายเขาก็จะมีวิธีการพูดอีกแบบซึ่งได้ผลเหมือนกัน แต่เด็กก็อาจจะไม่ได้เข้าใจเหตุผลทั้งหมด แต่มันก็เป็นวิถีแบบไทยๆ ที่เราส่งต่อกันมา

ครอบครัวใหญ่ส่วนมากก็จะมีปัญหาเรื่องนี้

ผมคิดว่าเรื่องนี้ชัดสุด เพราะอย่างอื่นเราก็มีอินเทอร์เน็ตแล้ว พ่อแม่อยากรู้อะไรเรื่องการดูแลเด็กก็หาข้อมูลได้ ไม่เหมือนเมื่อก่อน เขาต้องใช้ถามจากผู้ใหญ่ ถามคนรอบข้าง หรือเชื่อตามที่ได้ยินต่อๆ กันมา แต่ตอนนี้เราหาข้อมูลเองได้ ผมว่ามันก็ทำให้การเลี้ยงเด็กง่ายขึ้น

สำหรับผู้ชายคนหนึ่ง การเลี้ยงลูก โดยเฉพาะลูกสาวเป็นเรื่องยากไหม

ต้องบอกว่า ตอนแรกผมก็อยากได้ลูกชาย เพราะเราเลี้ยงเด็กไม่เป็น ก็เลยกลัวว่าจะเลี้ยงลูกไม่เป็น เราไม่เหมือนคนเป็นแม่ เขาจะมีการเตรียมตัวและศึกษาวิธีการเลี้ยงเด็กด้วยการไปดูลูกเพื่อน เขาก็เหมือนเริ่มมีความรู้พื้นฐาน ส่วนเราก็ผู้ช้ายผู้ชาย เลยคิดง่ายๆ ว่า ถ้าได้ลูกชายก็คงจะเลี้ยงง่ายกว่า เพราะเราก็เคยใช้ชีวิตมาแบบนั้นก่อน

แต่ถามว่ายากไหม…​ พอรู้ว่าเป็นลูกสาว สิ่งแรกที่ผมคิดก็คือคิดไปถึงตอนที่เขาโต ว่าโตแล้วเราจะเลี้ยงเขายังไง (หัวเราะ) ด้วยความที่เขาเป็นผู้หญิง เราก็รู้เลยว่าต้องห่วงเขามาก

“เราไม่ควรใช้ชีวิตให้หมดไปกับการก้มหน้าก้มตาทำงาน แล้ววันหนึ่งก็พบว่า เฮ้ย เราแก่แล้ว ลูกเราโตมากแล้ว ยังไม่ได้ใช้เวลากับเขาเลย”

คุณเริ่มมีส่วนช่วยหรือทำหน้าที่คุณพ่อเต็มตัวตั้งแต่เมื่อไหร่

ผมเลี้ยงลูกเต็มที่นะ พอรู้ว่าเราจะมีลูก ผมก็พยายามศึกษา แล้วตั้งแต่ลูกเพิ่งคลอดอยู่ที่โรงพยาบาล พยาบาลเขาจะสอนให้พ่อทำได้ทุกอย่าง เพราะช่วงคลอดใหม่ๆ คุณแม่ยังต้องพักฟื้น เราเป็นพ่อก็ต้องรู้ว่าจะอาบน้ำลูกยังไง อุ้มยังไง ซึ่งผมทำได้ทุกอย่าง

ผมมีเพื่อนผู้หญิงที่เวลามีลูกแล้วชอบมาบ่นว่าสามีไม่ช่วยเลี้ยงลูก แต่ผมไม่มีวันนั้นเลย เพราะตั้งแต่เขาเกิดมา ผมสนุกกับการเลี้ยงเขามาก

เพราะว่า… เราเป็นคนหนึ่งที่รู้ตัวเร็วว่า เวลาในชีวิตมันไม่ได้ยาว จริงๆ ที่ผมเลือกอาชีพที่ทำตอนนี้ เพราะผมเป็นคนหนึ่งที่รู้ตัวว่า เราไม่ควรใช้ชีวิตให้หมดไปกับการก้มหน้าก้มตาทำงาน แล้ววันหนึ่งก็พบว่า เฮ้ย เราแก่แล้ว ลูกเราโตมากแล้ว ยังไม่ได้ใช้เวลากับเขาเลย

เป็นเหตุผลที่ทำให้เลือกงานที่ทำแล้วมีเวลาด้วย

ใช่ ผมคิดว่าผมจะทำงานที่มีเวลาให้ครอบครัวเสมอ

คิดแบบนี้มาตลอดหรือว่าเริ่มคิดหลังจากมีครอบครัวแล้ว

ผมคิดแบบนี้มาตลอด เพราะผมเป็นคนชอบใช้ชีวิต ผมชอบเที่ยว ชอบสนุกสนาน แล้วก็ไม่ชอบทำอะไรที่มันซ้ำๆ เดิมๆ พอเป็นคนแบบนี้ เราก็เลยต้องหาวิธีทำงานที่ทำให้เรามีไลฟ์สไตล์แบบนั้นได้ ผมเป็นคนแบบนี้อยู่แล้ว

เรื่องสำคัญเกี่ยวกับลูก เช่น การเลือกโรงเรียนให้น้องพริม คุณพ่อมีบทบาทอย่างไร

เราผ่านการถกกันเยอะพอสมควร แต่ช่วงเตรียมอนุบาลจนถึงอนุบาล 1 เราเลือกความสะดวกไว้ก่อน เขาเรียนโรงเรียนที่ห่างจากบ้านไป 5 นาที เพราะผมคิดว่าเขายังเด็กมาก การให้ความสำคัญกับเรื่องเรียน เลยไม่เท่าความสะดวกในการเดินทาง

แต่ก็ไม่ใช่ว่าโรงเรียนที่สะดวกแล้วจะไม่ได้เรียนอะไรนะ เขาก็ได้ภาษาอังกฤษ เพราะผมให้ไปโรงเรียนที่สอนเป็นภาษาอังกฤษ  แต่ผมให้ความสำคัญกับความเป็นอยู่ของเขากับพ่อแม่มากกว่า

ไม่จำเป็นต้องเลือกโรงเรียนที่เน้นวิชาการ

(คิด) คือตอนอนุบาล 1 เขาก็เคยเรียนโรงเรียนที่มีการบ้านกลับมาเยอะๆ ถามว่าเราเห็นแล้วรู้สึกยังไง ผมก็รู้สึกว่า มันเยอะไปหรือเปล่า ซึ่งเรื่องนี้ก็เคยเป็นปัญหา ระหว่างคนที่มีส่วนในการตัดสินใจเรื่องโรงเรียนให้เขานะ คือบางคนเขาก็เชื่อว่าการศึกษามันต้องเริ่มตั้งแต่ยังเล็ก เด็กต้องรีบเรียนรู้ทุกอย่าง

แต่ด้วยความที่ผมก็ไม่ใช่เด็กเรียนเก่งมาก่อน แต่ผมรู้ว่าตัวเองอยากทำอะไร แล้วเป็นคนที่ค่อนข้างขัดเจนกับความชอบของตัวเอง ถ้าเจออะไรที่ไม่ชอบ ผมก็ไม่เอาเลย

ผมเคยสังเกตนะว่า ครอบครัวที่ประสบความสำเร็จ ลูกก็มักจะประสบความสำเร็จ เพราะว่าลูกได้เรียนรู้แนวคิดและการใช้ชีวิตมาจากต้นแบบที่ดี ดังนั้น ผมเป็นห่วงเรื่องนี้มากกว่า ว่าเราจะทำตัวยังไงให้เป็นต้นแบบที่ดีที่สุด นี่คือสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับผม เรื่องโรงเรียนขอให้สะดวก สะอาด หลักสูตรการศึกษาโอเค และผมอาจจะเน้นเรื่องภาษา แต่ว่าในช่วงที่เขายังเป็นเด็กเล็ก ผมให้ความสำคัญกับเรื่องการออกกำลังกายด้วย

โรงเรียนที่พริมเคยเรียน เขาได้เรียนทั้งโยคะ ยิมนาสติก และกิจกรรมต่างๆ ที่เกี่ยวกับกล้ามเนื้อมัดเล็กของเด็ก ซึ่งผมคิดว่านี่มันคือวัยของเขา วัยที่ต้องฝึกหยิบจับและสัมผัสสิ่งต่างๆ ให้เขามีความเข้าใจด้านนั้นก่อนที่จะต้องไปเข้าถึงวิชาการดีกว่า

ทำไมคุณถึงรู้ตัวเร็วว่าชอบอะไร เพราะคุณพ่อคุณแม่ก็ให้ความสำคัญเหมือนกันหรือเปล่า

ถ้าถามว่าป๊าม้าผมเลี้ยงมายังไง คือ… (คิดนาน) ผมเป็นเด็กดื้อ อย่างที่บอก ผมชัดเจนว่าชอบทำอะไรไม่ชอบทำอะไร แต่ความจริงป๊าม้าก็ต้องอยากให้เราเลือกเรียนอะไรตามครรลอง แต่ผมไม่เอา สุดท้ายกลายเป็นเขาเองที่ยอมปรับตามเรา เพราะเขาก็เป็นห่วงว่า ถ้าให้เราไปทำหรือไปอยู่ในที่ที่ไม่สบายใจ เราก็ไม่เติบโตและไม่มีประโยชน์ สู้ให้เราเลือกทางเดินของตัวเองดีกว่า ซึ่งพอเขายอมให้เราเลือกเอง เราก็ไปต่อได้ และเขาคอยสนับสนุนจากข้างหลังได้ ให้เขาได้รู้ว่าเราสามารถเอาตัวเองไปในจุดที่เราต้องการได้ เขาก็โอเคแล้ว

อาจจะเป็นความโชคดีที่เป็นคนดื้อ

อืม…​ ถ้าผมไม่ดื้อ ผมก็คงไม่ได้เจออาชีพนี้ เพราะที่จริงผมก็เรียนจบการตลาด ซึ่งมันก็คือการที่สุดท้ายแล้วผมก็ยังต้องยอมทำตามสังคมอยู่ดี เพราะเรารู้สึกว่าถ้าไม่มีปริญญา ถ้าวันหนึ่งเราไปไม่รอดกับอาชีพทำอาหาร เราก็ยังมีอะไรที่พอจะเป็นทางเลือกให้เราได้ ตอนนั้นผมก็คิดแบบนั้น

แต่ถามว่าตอนนี้ ผมคิดยังไง ผมอยากทำแบบฝรั่งมากกว่า เด็กฝรั่งเขารู้จักตัวเองกันตั้งแต่ไฮสกูล เช่น จบ ม.6 เขารู้ตัวแล้วว่าอยากเป็นเชฟ เขาก็ไปทางนั้นเลย แต่ก็ยังมีคนที่ไม่เห็นด้วยกับผมอยู่

ทุกวันนี้ เวลาผมพาลูกไปทำงานหรือพาเขาไปที่ร้าน* ผมจะบอกลูกเสมอว่า นี่คือการทำงานหาเงินของป๊า สิ่งที่ทำให้ป๊าได้เงินมาซื้อข้าวกิน ซื้อของเล่นให้หนู หรือมีเงินให้หนูไปโรงเรียน ก็คือการที่ป๊าเอาความถนัด เอาความสามารถของป๊าไปแลกมา ผมอยากให้เขารู้ว่า คนเราต้องมีความถนัดของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตาม และในที่สุดเราถึงจะได้รับสิ่งตอบแทนมา ก็คือทุกอย่างที่เรามีในวันนี้ นี่คือสิ่งที่ผมอยากให้เขาเรียนรู้ไว้ เพื่อที่เขาจะได้เข้าใจคอนเซ็ปต์ของการแลกเปลี่ยนของโลกใบนี้

แล้วตอนนี้น้องพริมชอบอะไรเป็นพิเศษ

ตอนแรกก็เหมือนเขาจะชอบทำอาหารกับผม แต่ตอนนี้เขาไม่เอาแล้ว (หัวเราะ) ตอนนี้เขาสนใจเรื่องร้องเพลง เต้น เล่นยิมนาสติก ซึ่งผมว่าอายุ 5 ขวบเนี่ย อยากทำอะไรก็เชิญตามสบาย เรารู้สึกว่ามันเป็นการเริ่มต้น ไม่ว่าเขาจะทำอะไร เขาควรจะสนุกที่ได้เลือก ได้ลอง ได้โปรยตัวเองไปเรื่อยๆ ถ้าเราอยากให้เขาชัดเจนเร็วที่สุด ก็ต้องปล่อยให้เขาไปลองเยอะที่สุด เพื่อที่เราจะได้หาทางสนับสนุนได้ถูก

ถามว่าใจลึกๆ ผมอยากให้ลูกมาทำอาหารเหมือนผมไหม มันเป็นอาชีพที่หนักนะ ทุกวันนี้เวลาใครมาถามผม ผมอยากบอกเลยว่า ถ้ามีอย่างอื่นที่ชอบ ไม่ต้องมาทำอาชีพนี้ก็ได้ เพราะมันเป็นอาชีพแบกหาม (หัวเราะ) คือมันต้องใช้เวลานาน ใช้การตระเตรียม ทุกวันนี้ผมก็ยังบ่นกับเพื่อนร่วมอาชีพเสมอ แต่ว่าเรารักไปแล้ว จะให้ทำยังไงได้

ดังนั้นคำตอบของผมก็คือ ถ้ารักแล้วก็ทำไปเถอะ เพราะถ้าเขาจะเหนื่อย เราก็อยากให้เขาเหนื่อยกับสิ่งที่เขารักและสิ่งที่ทำให้เขาอยากเติบโตไปเป็นคนที่ประสบความสำเร็จกับสิ่งนั้น

แล้วถ้าวันหนึ่งน้องพริมอยากจะเป็นเชฟเหมือนคุณพ่อขึ้นมา 

อะไรก็ได้ครับ เอาจริงๆ ผมทำช่องยูทูบ ผมก็อยากจะมีลูกที่ โอ้โห ลูกชอบทำอาหารจังเลย เพราะช่วงแรกที่ลองให้เขาทำ เขาเอนจอยมากนะ แล้วเขาก็ทำอะไรได้มากขึ้นเรื่อยๆ เริ่มปอกไข่ได้ เริ่มหั่นผักได้ ผสมนั่นผสมนี่ได้ ผมก็รู้สึกว่า เฮ้ย มันดี! อย่างน้อยเราก็คิดว่า ถ้าเขารู้ตัวเร็วว่าชอบด้านนี้ ก็ถือเป็นโชคดี

แต่หลังๆ มาเขาไปสนใจเรื่องร้องเพลงแทน ผมก็ไม่ได้ว่าอะไร เพราะไม่ว่าเขาจะทำอะไร ผมก็รักเขาอยู่ดี ขอแค่ให้เขาเอาตัวรอดได้และมีความสุข

เป็นคุณพ่อที่ห่วงลูกสาวคนนี้เรื่องอะไรมากที่สุด

ผมเตรียมใจมาตั้งแต่รู้ว่าได้ลูกสาวแล้ว เรารู้ว่ามันต้องมีสักวันที่เขาจะต้องโตขึ้นไปมีใคร แล้วเขาจะต้องทำให้เราเป็นห่วง เขาจะต้องออกไปอยู่ข้างนอก เราก็เริ่มคิดเป็นห่วงตั้งแต่แรกแล้ว แต่ก็รู้ว่าตอนนี้มันยังไม่ใช่เวลา แล้วถ้าเราเป็นห่วงเขาตั้งแต่ตอนนี้ แทนที่จะได้มีความสุขไปตามช่วงวัยของเขา มันจะกลายเป็นว่าเราเป็นห่วงอนาคต ก็เลยมองย้อนกลับมาว่า เราควรจะมีความสุขกับช่วงชีวิตทุกก้าวของเขา

ผมมีเพื่อนผู้หญิงหลายคนเล่าให้ฟังว่า ตอนวัยรุ่นไม่อยากอยู่กับพ่อเพราะพ่อหวงบ้าง ไม่รับฟังบ้าง เล่าเรื่องแฟนให้ฟังก็ไม่ได้ ทีนี้สมมติคนเรามีช่วงวัยรุ่นตั้งแต่ 13-25 ปี ถ้ามันจะเป็นช่วงวัยที่ลูกต้องห่างจากพ่อเลย ผมรับไม่ได้แน่ ดังนั้น เราเลยต้องตั้งรับกับมันด้วยการคิดว่าเราจะเป็นเพื่อนกับเขาตั้งแต่ต้น

ถ้ายังไม่นึกถึงอนาคต มีอะไรที่ทำให้รู้สึกว่าการเลี้ยงเด็กผู้หญิงเป็นเรื่องยากสำหรับคุณพ่อ

ก็…​ เรื่องผู้หญิงๆ บางทีเราก็ไม่เข้าใจเขาขนาดนั้น อย่างเรื่องมัดผมหรือเลือกเสื้อผ้า แค่นี้ก็เป็นเรื่องท้าทายสำหรับผู้ชายแล้ว แต่ในขณะเดียวกันผมคิดว่าเราต้องมองว่าเราเป็นพาร์ตหนึ่งในชีวิตของเรา ที่อาจจะมีความไม่รู้บ้าง มีความเป็นผู้ชายที่บางทีเราก็ต้องถามเขาว่า หนูทำอะไรเนี่ย… คือมันเป็นไปไม่ได้เลยที่เราจะเข้าใจเขาทุกเรื่อง ให้เราเป็นพาร์ตของผู้ชายที่เขาเห็นแล้วอยากให้เราแบบอย่างในการเลือกผู้ชายที่จะเข้ามาในชีวิตดีกว่า

 

“เราเป็นยังไง ลูกเราเป็นอย่างนั้น วันที่เราเครียด เวลาที่เรามีปัญหาชีวิต ลูกก็หม่นหมองกับเราไปด้วย เวลาที่เรายิ้มเราหัวเราะ เขาก็สนุกกับเราไปด้วย ดังนั้นเราอยากให้ลูกเป็นยังไง เราต้องเป็นตัวอย่างที่ดีให้เขาก่อน”

 

ในวัย 5 ขวบของน้องพริม คุณภูมิใจอะไรในตัวเขามากที่สุด

เขาเป็นเด็กที่มีน้ำใจ ยอมรับเวลาที่ตัวเองทำผิด และขอโทษเป็น ซึ่งผมว่ามันเป็นคุณสมบัติที่จำเป็น ถ้าเขาอยากจะโตไปเป็นคนที่ดีในอนาคต

อย่างเรื่องการขอโทษ ผมคิดว่ามันไม่ได้มาจาก DNA แต่มันมาจากการที่เราทำให้เขาเห็น เพราะผมเคยดุเขา เคยโมโหใส่เขา แต่พอเรารู้สึกตัวหรืออารมณ์เย็นลง ผมจะเป็นคนเข้าไปขอโทษเขา ทั้งที่สังคมของเรานี่อาจจะมีคนคิดว่า ฉันเป็นผู้ใหญ่ ทำไมฉันต้องขอโทษด้วย ซึ่งผมคิดว่ามันไม่ถูก เพราะเด็กวันนี้ เขาเหมือนกระจกสะท้อนของเรา ดังนั้นเราอยากให้เขาเป็นยังไง เราก็ควรจะเป็นแบบอย่างให้เขา

ถ้าใครเป็นพ่อแม่จะรู้เลยว่าเราเป็นยังไง ลูกเราเป็นอย่างนั้น วันที่เราเครียด เวลาที่เรามีปัญหาชีวิต ลูกก็หม่นหมองกับเราไปด้วย เวลาที่เรายิ้มเราหัวเราะ เขาก็สนุกกับเราไปด้วย ดังนั้นเราอยากให้ลูกเป็นยังไง เราต้องเป็นตัวอย่างที่ดีให้เขาก่อน

ในสายตาคุณพ่อ คิดว่าอีก 20 ปีข้างหน้าน้องพริมจะเป็นอย่างไร

อีก 20 ปี ก็อายุ 25 ผมคิดว่าเขาคงได้ทำงานที่เขารัก มีแนวทางชีวิตอย่างที่เขาต้องการ แล้วก็เริ่มออกเดินด้วยตัวเอง ตั้งต้นชีวิตสู่ความเป็นผู้ใหญ่เต็มตัว ผมเชื่อว่าถ้าวันนี้เราเลี้ยงเขาแบบนี้ แล้วเราช่วยให้เขารู้จักความชอบของตัวเอง บางทีอาจจะไม่ต้องรอถึงตอนนั้น เขาก็น่าจะตั้งต้นชีวิตตัวเองได้แล้ว

ขอย้อนกลับไปถามถึงตอนที่ตัดสินใจแยกทางกับคุณแม่ของน้อง

ตอนนั้นพริมสองขวบกว่าได้ เขายังไม่รู้เรื่องอะไรเลย เราต้องใช้การพูดคุยกันเยอะว่าจะทำยังไงดี ใช้เวลาปรับจูนกันค่อนข้างมาก กว่าจะเจอจุดที่ทุกคนสบายใจ ซึ่งสุดท้ายมันก็เป็นแบบสากล คือพ่อจะได้อยู่กับลูกเสาร์อาทิตย์ แล้ววันธรรมดาที่ลูกไปโรงเรียนเขาก็จะไปอยู่ที่บ้านคุณแม่ ซึ่งค่อนข้างสากลมากๆ

ถึงวันนี้ มีการอธิบายให้ลูกเข้าใจสถานะของครอบครัวอย่างไร

เขาเพิ่งสงสัยเมื่อปีที่แล้ว ด้วยความที่ครอบครัวเราชัดเจนมาตั้งแต่เขายังเล็ก เขาก็เลยไม่ได้รู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลง หรือรู้สึกว่าเคยมีแล้วไม่มี เพราะตั้งแต่เด็กเขาก็มีครอบครัวแบบนี้มาตลอด

แต่ถามว่าทำไมเขาถึงมีคำถาม เพราะเขาไปโรงเรียน ไปเจอเพื่อน เขาถึงเริ่มกลับมามีคำถามว่าทำไมหนูต้องอยู่สองบ้าน ซึ่งสุดท้ายแล้ว ผมและทุกคนในครอบครัวเลือกที่จะพูดความจริงกับเขาเสมอ

มันเหมือนเราดึงพลาสเตอร์ออกจากแผลเขา คือให้เขารู้ความจริงทีเดียวไปเลยดีกว่าที่จะมาค่อยๆ ชักแม่น้ำทั้งห้า หรือปล่อยให้เขางง แล้วสุดท้ายวันหนึ่งเขารู้ด้วยตัวเอง แล้วเขาก็เสียใจ ผมว่ามันไม่เวิร์ก

ไม่ได้วางแผนล่วงหน้าว่าต้องรอให้ลูกอายุเท่าไรถึงจะเริ่มอธิบาย

ไม่เคยมีเลย เพียงแต่ตอนที่เขาเด็กกว่านี้ เราก็ต้องมีศิลปะในการอธิบาย ผมว่ามันจำเป็น เราต้องสังเกตความพร้อมของเขาด้วย พูดตรงๆ บางทีผมก็เคยตีเนียนไปบ้าง เพราะคำตอบของเราอาจจะทำให้เขาไม่เข้าใจ แล้วมันจะยิ่งยาก แต่ก็ตอบในเชิงที่คิดว่าเด็กอายุเท่าเขาจะเอาไปย่อยเป็นความคิดที่เขาเข้าใจได้

ทุกวันนี้น้องเข้าใจดีแล้ว

เขาเข้าใจร้อยเปอร์เซ็นต์ครับ เพราะว่ามันเป็นปีที่สามแล้ว และชีวิตพวกเราทุกคนก็ก้าวสู่เฟสถัดไปแล้ว ไม่ได้มายึดติดกับคำว่าจะต้องเป็นครอบครัว เพราะผมว่า… เรื่องแบบนี้มันเกิดขึ้นได้ ถ้าเป็นเมื่อก่อนเราอาจจะคิดว่าต้องอดทนนะ ต้องอยู่เพื่อลูก แต่สุดท้ายแล้วสิ่งแวดล้อมในครอบครัวมันจะแย่ แล้วการที่คนเราคบกันและเลิกกันมันไม่ใช่เรื่องแปลก แต่ถามว่าเดี๋ยวนี้อัตราการหย่าร้างหรือแยกทางของคนเรามากขึ้นไหม ก็ใช่ เพราะเราอดทนกันน้อยลง แล้วถ้าถามว่ามันมีวิธีที่เราจะทำได้ดีกว่านี้ไหม ผมคิดว่ามันก็คงมี แต่ในขณะเดียวกัน การแยกทางมันก็คือสิ่งที่เกิดขึ้นไปแล้ว ผมไม่ได้ไปมองอดีตแล้วรู้สึกว่ามีอะไรติดค้างคาใจอยู่

คิดว่าเป็นทางออกที่ดีที่สุดแล้ว

ถามว่าผมใจสลายไหมที่ผมให้ครอบครัวที่สมบูรณ์กับลูกไม่ได้ ผมก็ใจสลายนะ แต่ในขณะเดียวกัน ตอนนี้ผมอายุเท่านี้แล้ว เราเหลืออีกครึ่งชีวิตเอง แล้วเราจะต้องเอาเวลามากแค่ไหนไปทุ่มเทให้กับความเศร้าความกดดัน คือ… ถ้ามันแก้ไขได้ มันก็คงแก้ได้ไปแล้ว หรือถ้าเราอยู่ได้ ก็คงอยู่ได้ไปแล้ว

ถ้าให้ย้อนกลับไปแก้ปัญหาอีกครั้ง คิดว่าจะทำอย่างไร

ผมตอบอย่างนี้ดีกว่า ผมขอพูดว่าผมเลือกวิธีที่เป็นธรรมชาติ มันต้องดูว่าสถานการณ์ตอนนั้นเกิดอะไรขึ้น แล้วเราแก้ปัญหาได้ดีที่สุดหรือยัง ตอนนั้นผมก็คิดว่าทำได้ดีที่สุดแล้ว เราไม่มีอะไรค้างคาใจ

ผมเป็นคนที่ถ้าผมทำอะไรผิดผมจะขอโทษ ผมจะพิจารณาตัวเองว่ามันมีอะไรที่พอจะแก้ไขได้ไหม แล้วผมก็เป็นคนรักลูกมาก คือทุกคนก็รักลูกหมด ทุกคนอยากให้สิ่งที่ดีกับลูก แต่บางทีมันเป็นไปไม่ได้ ซึ่งผมก็เคยติดอยู่กับความคิดนี้สองปี เป็นสองปีที่เราก้าวต่อไปข้างหน้าไม่ได้ รู้สึกติดอยู่กับความหวัง หรือความรู้สึกว่า เราควรจะ เฮ้ย อีกหน่อยว่ะ

จนวันหนึ่งเราก็รู้ว่ามันไม่ต้องเฮ้ยแล้ว มันไม่ใช่

ในขณะที่หลายครอบครัวมีปัญหา แต่ตัดสินใจไม่ได้ หนึ่ง—เพราะลูกยังเล็ก อยากรอให้ลูกโตก่อน หรือสอง—ลูกกำลังโต กลัวว่าเขาจะรับไม่ได้ ถ้าคุณต้องเป็นที่ปรึกษาเรื่องนี้ คุณจะบอกเขาว่าอย่างไร

ถ้าในฐานะที่ต้องให้คำปรึกษา ผมขอพูดเลยว่า คุณมีสิ่งแวดล้อมในครอบครัวแบบไหนในระหว่างที่รอ ถ้าคุณให้สิ่งแวดล้อมในครอบครัวกับลูกได้อย่างที่ลูกไม่รู้สึกอะไรเลย มันก็ดี แต่ต้องไม่ลืมว่า มันก็เหมือนการซ่อนระเบิดเวลาเอาไว้ โดยที่ลูกไม่รู้

สมมติ คุณคิดว่ารอให้ลูกสักเจ็ดขวบ พ่อแม่ค่อยเลิกกัน แล้วระหว่างนั้นคุณก็ทำเหมือนครอบครัวเราดีจังเลย ลูกไม่เคยรู้ปัญหาอะไรเลย แต่วันหนึ่งคุณก็ลุกขึ้นมาตัดฉับ ผมว่ามันก็ไม่ใช่

“มีคนรอบตัวถามว่าทำไมผมต้องจริงจังกับชีวิต เราดูเหมือนคนที่น่าจะอยู่ได้โดยไม่ต้องลำบาก ถ้าผมคิดแค่นี้ ผมก็คงใช้ชีวิตสบายๆ ไปแล้ว แต่ผมตอบทุกคนเหมือนกันหมดเลยว่า ผมอยากเป็นพ่อที่มีอะไรไปสอนลูก”

ถ้าวันนี้ต้องให้คะแนนตัวเองในฐานะคุณพ่อ

ถ้าเต็มร้อย… (คิด) ผมให้สัก 80 ฟังดูเยอะ แต่ผมเป็นคนหนึ่งที่หายใจเป็นลูก เป็นคนหนึ่งที่ก่อนมีลูกก็เป็นผู้ชายธรรมดา ใช้ชีวิตสนุกสนานทั่วไป แต่พอมีลูก แนวคิดเราเปลี่ยน ชีวิตเราก็เปลี่ยน

เมื่อก่อนผมก็มีอาชีพ มีหน้าที่การงาน แต่ไม่ได้แสวงหาความยั่งยืนและมั่นคงอะไร แต่พอมีลูก ตั้งแต่วันนั้นมาเราก็ต้องการให้เขามีความมั่นคงในชีวิต

มีคนรอบตัวถามว่าทำไมผมต้องจริงจังกับชีวิต เราดูเหมือนคนที่น่าจะอยู่ได้โดยไม่ต้องลำบาก ถ้าผมคิดแค่นี้ ผมก็คงใช้ชีวิตสบายๆ ไปแล้ว แต่ผมตอบทุกคนเหมือนกันหมดเลยว่า ผมอยากเป็นพ่อที่มีอะไรไปสอนลูก เพราะฉะนั้นเราควรจะ work hard แทนที่จะสอนลูกว่า ไม่เป็นไรนะ ยังไงเราก็อยู่รอดได้ชิลๆ เพราะเราไม่ได้อยากเป็นต้นแบบอย่างนั้น เราอยากให้เขามองว่า พ่อฉันก็ประสบความสำเร็จในชีวิตด้วยการทำงานนะ

ผมอยากให้เขาเป็นเด็กที่มีรู้ว่าถ้าเขาลงมือทำ มันจะเป็นไปได้ แล้วสุดท้าย ของขวัญชิ้นยิ่งใหญ่ที่เราจะให้เขาได้ มันก็คือความรู้สึกที่เขาได้เป็นคนอย่างที่เขาอยากเป็น

ผมไม่เคยคิดว่าจะต้องมีสมบัติไว้มากมายเพื่อให้ลูกไม่ต้องทำอะไร แต่ผมอยากให้เขาโตไปกับเรา เราจะโตไปด้วยกัน แล้วสุดท้ายเขาก็จะทำอย่างนี้กับคนในเจเนเรชั่นถัดไป ซึ่งมันดีกว่าการที่เรามีเงินถุงเงินถังให้โดยที่เขาไม่ต้องทำอะไรแล้วในชีวิตนี้ ถ้าเป็นอย่างนั้น เจนฯ ถัดไปก็ไม่รอด

ถ้าวันนี้เป็นคุณคนที่ไม่เคยมีลูกมาก่อน

ถ้าผมเป็นผมคนเดิมที่ไม่มีลูก… ผมไม่เป็นอย่างนี้แน่นอน ผมคงไม่ได้คิดถึงการสร้างบริษัทหรือสร้างสิ่งที่มันจะผลิดอกออกผล และผมคงไม่เป็นผู้ชายคนที่เปลี่ยนไปจากวันนั้นมาก ผมทำอะไรได้มากขึ้นเยอะ ด้วยพลังจากลูก เรียกว่าเป็น 5 ปีที่ผมโตขึ้น เพราะเราผ่านอะไรมาเยอะมาก ตกงานบ้าง ทำธุรกิจแล้วขาดทุนบ้าง แต่ผมคงไม่กล้าแม้แต่จะเริ่มทำ ถ้าผมไม่มีเขา แล้ววันที่ผมล้ม ผมคงลุกไม่ขึ้น ถ้าผมไม่มีเขา มันเหมือนเราได้เป็นผู้ชายเต็มตัวจริงๆ เมื่อเราเป็นพ่อคน

FYI:
• คุณฟางเป็นเจ้าของร้านอาหาร Pain Perdu (แปง เปอร์ดู) ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ ร้านขนมหวานเป้าปิง และบริษัทคาเทอริ่ง The Food People
• ติดตามช่องยูทูบของคุณฟางและน้องพริมได้ที่ เชฟฟาง TV

Sisata D.

Editor in Chief, ชอบเล่นกับลูกคนอื่นและอัพรูปหลานลงอินสตาแกรม

RELATED POST

COMMENTS ARE OFF THIS POST