เกือบสุดซอย บนถนนเส้นหลักของหมู่บ้านใหญ่ในย่านพุทธมณฑล เรามีนัดกับ คุณพ่อภาวิน เจนมานะ ดูจากนามสกุลแล้วคงแทบไม่ต้องบอกว่า ผู้ใหญ่ใจดีที่เราตั้งใจมาคุยด้วยถึงบ้านนั้น เป็นคุณพ่อคนเก่งของศิลปิน นักร้อง และนักเขียนหนุ่ม แม็กซ์ เจนมานะ ที่ใจดีล็อกคิวทั้งของตัวเองและคุณพ่อไว้ให้เราได้เข้าไปหา (ทั้งที่ตอนแรก แม็กซ์ออกตัวว่าเขิน ไม่กล้าฟังพ่อพูดถึงตัวเองสักเท่าไร)
ย้อนกลับไปครั้งแรกที่หลายคนได้เห็น แม็กซ์ เจนมานะ ในฐานะชายหนุ่มเสียงดี ผู้เข้าประกวดคนหนึ่งในรายการ The Voice Thailand (ซีซั่นที่หนึ่ง) ขณะที่แม็กซ์ร้องเพลงอยู่บนเวที ตัดภาพมาเราได้เห็นทั้งคุณพ่อ คุณแม่ และน้องสาวคนเล็กไปยืนให้กำลังใจแม็กซ์อยู่ข้างเวที
จากวันนั้นจนถึงวันนี้ แม็กซ์ยังคงเดินอยู่บนเส้นทางของดนตรี และยังคงมีครอบครัวเป็นกำลังใจและแรงผลักดันจากข้างหลัง
วันพ่อนี้ M.O.M จึงถือโอกาสพาทุกคนมาคุยกับคุณพ่อคนเก่งของศิลปินคนเก่งว่าเบื้องหลังความสำเร็จของคนเป็นลูกนั้นที่พวกเราเห็นนั้น ต้องใช้เรี่ยวแรงกำลังของคนเป็นพ่ออย่างไรบ้าง
วัยเด็กของแม็กซ์ เจนมานะ
พ่อ: แม็กซ์เป็นลูกชายคนโตในพี่น้องสามคน เขาเป็นเด็กเงียบมาก ตั้งแต่เล็กเขาไม่ค่อยร้องไห้ ไม่งอแง เขาเงียบจนคนข้างบ้านถามว่า บ้านเรามีลูกด้วยเหรอ ไม่ได้ยินเสียงเด็กเลย
แล้วพอเริ่มเรียนหนังสือ แม็กซ์ก็เป็นเด็กเรียนเก่ง ตั้งแต่ประถมก็ทำคะแนนได้เก้าสิบกว่าเปอร์เซ็นต์ตลอด
ให้แม็กซ์เข้าโรงเรียนอินเตอร์ฯ ตั้งแต่เด็ก
พ่อ: ถ้าตอนประถมต้นนี่… (คิด) ไม่ใช่อินเตอร์ฯ น่าจะเริ่มมาเรียนอินเตอร์ฯ ตอนประถมปลาย
แม็กซ์: ประถมต้นผมเรียนอินเตอร์ฯ นะป๊า (คุณพ่อหันไปถามว่า ประถมต้นเลยจริงๆ เหรอ) ตอน ป.1-2 ผมเรียนอินเตอร์ฯ แล้ว ป.3-5 ก็เรียนสองภาษาที่โรงเรียนเลิศหล้า แล้ว ป.6 ก็มาเรียนสองภาษาที่สารศาสตร์ อันนี้ชัวร์ เชื่อผม (หัวเราะ)
ดูจากโรงเรียนแล้วเหมือนคุณพ่อเน้นเรื่องภาษามาตั้งแต่เด็ก
พ่อ: ตอนแรกก็ไม่ได้ตั้งใจว่าจะเน้นเรื่องภาษา แต่รู้จักกับเจ้าของโรงเรียน (หัวเราะ) แล้วโรงเรียนเขาเพิ่งเปิดคอร์สสองภาษา เขาก็เลยบังคับให้เราเอาลูกไปเรียน แม็กซ์ก็เลยได้เป็นรุ่นแรกของหลักสูตรนั้น
นอกจากเรียนเก่งแล้ว แม็กซ์เป็นเด็กซนไหม
พ่อ: เคยมีคนบอกให้แม็กซ์กินยาด้วยนะ เขาบอกว่าเป็นเด็กไฮเปอร์ฯ ตอนนั้นประมาณ ป.1-2 นี่แหละเนอะ (หันไปถามแม็กซ์)
แม็กซ์: เหรอ ผมจำไม่ได้เลย
พ่อ: ก็เลยไปถามหมอ หมอก็บอกว่าไม่ได้เป็นหรอก ห้ามให้กินยานะ คือแม็กซ์เขาเป็นเด็กที่อยู่ไม่นิ่ง คนอื่นเขาเรียนกันอยู่ แม็กซ์ก็เดินเล่นไปเรื่อยเลย แต่ถ้าคุณครูถาม คนที่นั่งเรียนอยู่กับที่ตอบไม่ได้หรอกนะ แต่แม็กซ์ตอบได้
ขอย้อนกลับไปช่วงวัยอนุบาลหน่อย
พ่อ: พ่อให้แม็กซ์เข้าเรียนเตรียมอนุบาลตั้งแต่หนึ่งขวบสามเดือน
แม็กซ์: อันนี้ผมจำไม่ได้เลยจริงๆ (หัวเราะ)
พ่อ: เพราะว่าเขาเป็นเด็กที่พูดชัดมาก สำหรับเด็กวัยนั้น จนคุณครูที่โรงเรียนเขาเรียน ป.โท อยู่ ก็ขอเอาแม็กซ์ไปเป็นเคสศึกษา เพราะเป็นเด็กที่พูดชัดแล้วก็คุยตอบโต้รู้เรื่องทุกอย่าง ต่างจากเด็กคนอื่นมาก
คุณพ่อคิดว่าเป็นเพราะอะไร
พ่อ: น่าจะเพราะเราคุยกับเขา พูดกับเขาตลอดตั้งแต่เล็กๆ แล้วก็จะไม่ใช้วิธีเดาใจ คือถ้าเขาพูดไม่รู้เรื่องหรือพูดไม่ชัด เราก็จะทำเป็นไม่เข้าใจ เขาก็จะพยายามพูดใหม่ไปจนกว่าจะพูดชัด
แสดงว่าเป็นครอบครัวที่คุณพ่อคุณแม่เลี้ยงลูกเอง
พ่อ: เลี้ยงกันเอง ที่จริงเราก็มีพี่เลี้ยง แต่ว่าไม่ให้พี่เลี้ยงอุ้มนะ พี่เลี้ยงมีหน้าที่นั่งเฝ้า แล้วก็ปล่อยแม็กซ์ให้เขาเล่นรื้อของอะไรของเขาไป พี่เลี้ยงคอยช่วยระวังของมีคมให้เท่านั้นเอง ที่สำคัญคือห้ามอุ้ม เพราะว่าถ้าพี่เลี้ยงอุ้ม เด็กก็จะได้แต่อยู่นิ่งๆ ไม่ได้ทำอะไร แต่เราอยากให้เขาเล่น เรากลัวลูกไม่ได้เล่นสนุก แต่ก็เผลอไม่ได้นะ เผลอทีไรเขาก็อุ้มเรื่อยเลย เพราะอุ้มแล้วสบายกว่า จะเดินไปไหนทำอะไรก็ได้ ถ้าปล่อยนี่เขาต้องคอยเดินตามเหนื่อย
การเลี้ยงลูกเองทำให้ใกล้ชิดและได้เห็นว่าแม็กซ์ชอบอะไรไม่ชอบอะไรมาตั้งแต่เด็ก
พ่อ: แม็กซ์เป็นเด็กไม่ชอบเล่นของเล่น ชอบเล่นแต่ของจริง พอเขารู้ว่ามันเป็นของเด็กเล่น เขาก็ไม่เล่น เขาจะเดินไปหาของจริงมาแทน ทีนี้พ่อชอบอ่านหนังสือ ก็อยากให้เขาชอบอ่านหนังสือด้วย เลยเอาสมุดหน้าเหลืองมาให้เขา เพราะเราอยากให้เขาชินและรู้จักเล่นกับหนังสือ แล้วสมุดหน้าเหลืองมันเป็นของจริง เขาได้ไปก็เอามานั่งเล่น นั่งดึง ฉีกออกมาหมด (หัวเราะ)
แม็กซ์ก็เลยเป็นเด็กที่ชอบอ่านหนังสือมากจริงๆ
พ่อ: เพราะชอบพาเขาไปร้านหนังสือด้วย พอเดินเข้าร้านหนังสือ เขาก็จะวิ่งไปเลือกหนังสือ เราก็จะคอยดูว่าเขาชอบไปหยิบหนังสือประเภทไหน แต่ถ้าเราเลือกให้ก็จะเน้นไปทางวิทยาศาสตร์ เพราะคนสมัยก่อน มีลูกก็อยากให้ลูกโตไปเป็นหมอ เป็นวิศวกร ก็เลยเลือกหนังสือที่มันเกี่ยวกับไดโนเสาร์ วิทยาศาสตร์ ดาราศาตร์ให้เขา ทุกวันนี้ก็เห็นเขายังอ่านอยู่เลยพวกหนังสือดาราศาสตร์ของสตีเฟ่น ฮอว์กกิ้ง ก็ยังเห็นเขาซื้อมาอยู่เลย
แม็กซ์: ยังอ่านไม่จบเลย ที่จริงผมเห็นพ่อชอบ ผมก็เลยซื้อมา (หัวเราะ)
พ่อ: แล้วพอเริ่มโตก็ส่งเขาไปเรียนว่ายน้ำ ไปเรียนทำอาหารกับอาจารย์ยิ่งศักดิ์
แม็กซ์: จริงเหรอ!
พ่อ: จริง ไปเรียนกันสามคน แม็กซ์กับน้องเขาอีกสองคน
แม็กซ์: จำไม่ได้เลย ผมเคยเจออาจารย์ยิ่งศักดิ์ด้วยเหรอ (หัวเราะ)
พ่อ: ที่ให้ไปเรียนอะไรเยอะๆ เพราะเราอยากให้เขาลองว่าเขาจะไปทางไหน นอกจากไปว่ายน้ำ ทำอาหาร ก็มีวาดรูป แล้วก็เล่นดนตรี แต่เล่นดนตรีนี่ต้องคอยปะเหลาะ เพราะว่าเล่นกีตาร์นิดนึงเขาก็จะบ่นว่าเจ็บนิ้วแล้ว
แม็กซ์จับกีตาร์มาเล่นครั้งแรกตอนอายุเท่าไร
พ่อ: ยังไม่ถึง 12 เลยนะ ยังเด็กอยู่เลย
แม็กซ์: น่าจะประมาณ 11
“ตอนแม็กซ์เล็กๆ เคยซื้อคีย์บอร์ดให้เขา
เขาฟังเพลงจากในหนังมา ก็เอามาเล่นตามเองได้
แล้วเขาก็ชอบร้องเพลง ร้องไม่หยุด
กลับบ้านมาก็ร้องเพลง อยู่ในรถก็ร้อง
เราก็คิดว่าที่จริงเขาน่าจะชอบร้องเพลง แต่เขาไม่มั่นใจตัวเอง”
—คุณพ่อภาวิน เจนมานะ
เขาสนใจเองหรือว่าคุณพ่อแนะนำให้ลองเล่น
พ่อ: พ่อบอกให้ลอง
แม็กซ์: เพราะไปโบสถ์ด้วย
พ่อ: อ้อ ใช่ เพราะอยากให้เขาไปเล่นดนตรีที่โบสถ์ ก็เลยบอกให้เขาลองเล่นดู แล้วเราจะได้เช็กดูว่าเขาชอบไหม ตอนนั้นที่บ้านมีกีตาร์ของพ่อสองตัว (แม็กซ์เสริมว่า ตอนนี้โดนขโมยไปแล้วหนึ่งตัว) เขาก็จะเอาไปหัดเล่นที่โบสถ์ พอเขาเริ่มเล่นเป็น เราก็ค่อยพาไปเรียนจริงจังครั้งแรกที่ยามาฮ่า (หันไปถามลูกว่าใช่ไหม)
แม็กซ์: เอ่อ… เคพีเอ็นหรือเปล่า… (หัวเราะ)
พ่อ: จนเข้า ม.1 เขาก็เริ่มมาบอกว่าจะเล่นดนตรีให้โรงเรียน
แม็กซ์: เพราะช่วงนั้นเข้าโรงเรียนมัธยม เขามีชมรมดนตรี ก็เริ่มมีการตั้งวง แล้วผมก็ชอบฟังเพลงร็อกแล้ว ก็เลยเริ่มอินจริงจัง
พ่อ: เขาก็มาบอกว่า ป๊า แม็กซ์มีวงดนตรีแล้วนะ เดี๋ยวจะเล่นที่งานโรงเรียน ป๊าไปดูนะ แต่พอถึงเวลาจริงๆ ล่ม เพราะว่านักร้องในวงเบี้ยว ตอนนั้นเขาเป็นมือกีตาร์ ปีแรกล่ม แล้วปีที่สองก็ล่มเพราะนักร้องนำเบี้ยวอีก ตั้งวงมาสองปีแล้วยังไม่ได้เล่นซะที พ่อก็เลยบอกว่าแม็กซ์น่าจะร้องเองเลย เขาก็บอกว่า เขาร้องไม่ได้หรอก
แต่เราจำได้ว่า ตอนแม็กซ์เล็กๆ เคยซื้อคีย์บอร์ดให้เขา เขาฟังเพลงจากในหนังมา ก็เอามาเล่นตามเองได้ แล้วเขาก็ชอบร้องเพลง ร้องไม่หยุด กลับบ้านมาก็ร้องเพลง อยู่ในรถก็ร้อง เราก็คิดว่าที่จริงเขาน่าจะชอบร้องเพลง แต่เขาไม่มั่นใจตัวเอง ก็เลยถามเขาว่า แม็กซ์ไปเรียนร้องเพลงไหม เขาก็บอกว่า ไม่เอา
แต่น้องสองคนบอกว่าจะเรียน แม็กซ์ก็เลยเรียนด้วย
แม็กซ์: ผมขี้อิจฉา เห็นน้องเรียนก็เลยเรียนบ้าง
พ่อ: แล้วจำไม่ได้ว่าที่เรียนนี่ได้เอาไปร้องที่โรงเรียนหรือเปล่า
แม็กซ์: ไม่เคยฮะ กว่าจะได้ขึ้นเวทีที่โรงเรียนครั้งแรก ครั้งเดียวก็ตอน ม.5-6 นี่แหละ ตอนนั้นต่อยกับคนอื่นมา ยังมีรูปอยู่เลยว่าขึ้นเวทีครั้งแรกก็เลือดอาบหน้าเลย ร็อกมากเลย
พ่อ: แม็กซ์เขาโดยต่อยประจำ (หัวเราะ)
ลูกชายมีเรื่องชกต่อยบ่อยๆ คุณพ่อทำอย่างไร
พ่อ: ก็เฉยๆ (หัวเราะ) เวลามีผู้ปกครองมาบอกว่าลูกเราไปต่อยกับลูกเขานะ พ่อก็อ๋อ โอเค ก็แค่นั้น เพราะเรื่องแบบนี้โตแล้วเดี๋ยวก็เลิกเอง
แม็กซ์: ผมไม่ได้เริ่มนะ เขามาต่อยผมก่อน
“ความรู้สึกที่ได้มาจากวันนั้นคือเราติดใจการอยู่บนเวที
เพราะเราไม่เคยขึ้นเวทีที่มีคนมาเชียร์ หรือมีคนดูเยอะเป็นพัน
แล้วเราอยู่บนนั้นโดยที่มองไม่เห็นอะไรเลย”
—แม็กซ์ เจนมานะ
แล้วจากมือกีตาร์ เริ่มหันมาเป็นนักร้องนำเองได้อย่างไร
พ่อ: ตอนนั้นพ่อเป็นเอเย่นปูน แล้วเขามีงานประกวดร้องเพลง เราก็อยากให้ลูกลองสมัคร
แม็กซ์: ผมปิดเทอมอยู่ แล้วก็เรียนร้องเพลงอยู่ที่โรงเรียนสตาร์เมกเกอร์ พอพ่อเอาใบสมัครมาให้ ก็ให้โรงเรียนช่วยอัดเสียงร้องเพลงใส่เทปส่งไปสมัคร
พ่อ: ตอนนั้นแม็กซ์อายุ 16 ได้มั้ง คนอื่นที่เขามาร้องนี่ยี่สิบกันแล้ว ลูกเราเด็กที่สุดเลย แต่พอดีเราเส้นใหญ่ (หัวเราะ) จริงๆ คงเป็นเพราะเขาเด็กแล้วก็เลยกลายเป็นคนนอกสายตา สมมติเขามีตัวเก็ง 1 2 3 แม็กซ์นี่น่าจะเป็นคนท้ายๆ แต่แข่งเสร็จ ปรากฏว่าเขาได้ที่หนึ่ง
แม็กซ์: ถ้ากลับไปดูตอนนี้ ร้องแย่มากเลยนะ เขาให้รางวัลเพราะเป็นเด็กหรือเปล่าก็ไม่รู้ แต่ว่าความรู้สึกที่ได้มาจากวันนั้นคือเราติดใจการอยู่บนเวที เพราะเราไม่เคยขึ้นเวทีที่มีคนมาเชียร์ หรือมีคนดูเยอะเป็นพัน แล้วเราอยู่บนนั้นโดยที่มองไม่เห็นอะไรเลย เพราะควันบนเวทีเยอะมาก (หัวเราะ)
ในบรรดาสามคนพี่น้อง แม็กซ์ต่างจากคนอื่นอย่างไรบ้าง
พ่อ: เขาจะนิ่งกว่าคนอื่น
นิ่งเพราะความเป็นพี่คนโตหรือเปล่า
พ่อ: ไม่นะ น่าจะเป็นเพราะนิสัยเขาเอง เพราะว่าพ่อใช้วิธีเลี้ยงลูกทุกคนเหมือนกันหมด ไม่อยากให้เขารู้สึกว่าลำเอียง เวลาจะส่งไปเรียนหรือให้ลองทำอะไร ก็จะให้ไปเหมือนกันหมดเลยทั้งสามคน
ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่รู้ว่าแม็กซ์ชอบดนตรีมากที่สุดในบรรดาหลายอย่างที่คุณพ่อเปิดโอกาสให้ลอง
พ่อ: ก็ตั้งแต่เราเห็นว่าเขากลับบ้านมา เขาจะเอากีตาร์มาเล่นก่อน แต่ยังเรียนหนังสือเก่งเหมือนเดิมนะ แค่กลับบ้านมาเขาเล่นกีตาร์ก่อนที่จะดูหนังสือ เราก็เริ่มเห็นแล้ว ถ้าเป็นน้องมาร์กเขาก็ชอบเล่นกีตาร์เหมือนกัน แต่กลับมาเขาจะอ่านหนังสือก่อน จนถึงตอนนี้มาร์กก็เลือกไปทางข้อมูล ส่วนแม็กซ์ก็มาทางดนตรี
คุณพ่อสอนอะไรพี่คนโตคนนี้เป็นพิเศษ
พ่อ: ไม่เลย อันนี้เป็นเรื่องที่ขัดกับแม่เขาประจำ คือเราเคยเห็นหลายครอบครัวที่อาจจะบอกว่า เป็นพี่ต้องดูแลน้อง ต้องเสียสละให้น้อง ส่วนน้องก็ต้องเชื่อฟังพี่ เราก็เห็นคนเป็นพี่ก็บ่น คนเป็นน้องก็บ่น พ่อก็เลยบอกว่าทุกคนต้องเท่ากันหมดเลย จะทำอะไรก็ผลัดกัน แม่เขาก็บอกว่าป๊าสอนไม่ถูก แต่เราอยากจะสอนแบบนี้ เช่น ผมให้ลูกตักข้าวเอง ทุกคนก็จะผลัดกัน วันนี้เวรแม็กซ์ตักข้าว พรุ่งนี้มาร์กตัก มะรืนเป็นน้องมายด์ ก็จะเป็นแบบนี้ ต่อไปจะได้ไม่ต้องมาบ่นว่า โอ๊ย เป็นพี่ต้องเลี้ยงน้อง หรือเป็นน้องต้องเชื่อฟังพี่
“ผ่านไปสองในสามของเวลาที่ตกลงไว้ทั้งหมด
เขาก็มาบอกว่า ป๊า แม็กซ์อยากหยุดแล้ว ผมก็บอกเขาว่าไม่ได้
ถ้าหยุดตอนนี้เราจะติดนิสัยเป็นคนทำอะไรไม่สุดทาง
เขาก็เลยยอมทำต่อจนจบ”
—คุณพ่อภาวิน เจนมานะ
แม็กซ์เคยเขียนในหนังสือของเขาว่าคุณพ่อส่งไปฝึกงานที่โรงแรมตั้งแต่อายุ 14 ตอนนั้นเป็นเพราะอะไร
พ่อ: เพราะผมเองก็เคยทำงานมาตั้งแต่อายุน้อยๆ แล้วเรารู้สึกภูมิใจมากว่าเราทำได้ และคิดว่ามันเป็นทักษะที่สตาร์ตชีวิตทำงานของคนเราได้ ผมสังเกตคนที่เขาประสบความสำเร็จ เขาก็เริ่มทำงานตั้งแต่อายุน้อยๆ กันทั้งนั้น
ตั้งใจไว้อย่างนั้นหรือว่าบังเอิญมีโอกาสพอดี
พ่อ: บังเอิญ พอดีเรารู้จักกับเจ้าของโรงแรม ก็เลยไปบอกเขาว่า ฝากลูกชายคนนึงได้ไหม อยากให้ฝึกงานตอนปิดเทอม เขาก็โอเคเอา เราก็เลยส่งไป
เจ้าของโรงแรมที่เป็นเพื่อนเราเขาก็ยินดีรับ แต่ผู้จัดการโรงแรมบอก เฮ้ย ไม่ได้นะ แม็กซ์ยังเด็กไป พ่อก็เลยถามเขาว่า คุณเริ่มทำงานอายุเท่าไหร่ เขาก็บอกว่าประมาณนี้แหละ ผมก็ อ้าว นี่ไง คุณยังทำได้เลย (หัวเราะ)
อายุ 14 เข้าไปได้ทำอะไรบ้าง
แม็กซ์: ทำจานแตกเล่น (หัวเราะ) แต่ผมชอบมาก โคตรสนุกเลย
พ่อ: เขาก็ทำงานดีนะ เพราะทุกคนรู้ว่าเขาเป็นลูกของเพื่อนเจ้าของโรงแรม ก็จะมาดูแลแม็กซ์ดีเลย
แม็กซ์: เป็นครั้งแรกที่ทำให้เรารู้ว่าชีวิตทำงานมันต้องมีการนินทา มันมีพรรคมีพวก แล้วผมก็ต้องอยู่กับคนเหล่านี้ ได้เห็นว่าผู้จัดการคนนี้เขาปฏิบัติกับคนอื่นยังไง แต่ทำกับผมไม่เหมือนคนอื่น
พ่อ: ผมเคยทำงานคล้ายๆ แบบนี้มาก่อน ก่อนไปเราก็สอนเขาว่า หนึ่งอย่าขโมยของ สองอย่านินทาเจ้านาย และสามก็อย่าไปเข้าข้างแบ่งพรรคแบ่งพวกกับใคร แล้วเขาก็ทำได้ดีมาตลอด จนผ่านไปสองในสามของเวลาที่ตกลงไว้ทั้งหมด เขาก็มาบอกว่า ป๊า แม็กซ์อยากหยุดแล้ว ผมก็บอกเขาว่าไม่ได้ ถ้าหยุดตอนนี้เราจะติดนิสัยเป็นคนทำอะไรไม่สุดทาง เขาก็เลยยอมทำต่อจนจบ
แม็กซ์: รู้สึกจะทำไปสองเดือน เดือนแรกได้เงินเดือนก็ให้ป๊ากับม้าหมด พอเดือนที่สองได้เงินเดือนให้ตัวเองแล้ว ก็เลยรู้สึกว่าพอแล้ว ต้องการแค่นี้แหละ (หัวเราะ)
สนใจดนตรีตั้งแต่เด็กจนถึงมัธยม แล้วทำไมเลือกไปเรียนเศรษฐศาสตร์
พ่อ: อยากเล่าว่าตอนเขา ม.4 พ่อเคยพาเขาไปดูคณะดุริยางค์ ไปเดินดูในตึกเลย ดูห้องเรียน ให้เขาเห็นว่ามันจะมีเครื่องดนตรีนะ แต่ดีที่เขาไม่เอา เพราะค่าเทอมมันแพง (หัวเราะ)
แม็กซ์: ตอนนั้นยังไม่รู้หรอกว่าตัวเองอยากเรียนอะไร แต่มาถึงตอนนี้ ผมก็ชอบเศรษฐศาสตร์ ชอบวิธีการคิดงานแบบที่ผมเรียนมานะ
พ่อ: ก็คิดว่าดีแล้วที่เขาเลือกเรียนทางนี้ เพราะเศรษฐศาสตร์มันก็มีการคิดวิเคราะห์และมีความเป็นศิลปะด้วย
แล้วจากเด็กเศรษฐศาสตร์ก็ผันตัวกลับมาเอาจริงเอาจังทางดนตรีอีกครั้ง คุณพ่อว่าอย่างไรบ้าง
พ่อ: ต้องเล่าตั้งแต่ตอนเขาเรียนเศรษฐศาสตร์ปีแรก เขาก็บอกว่า มันไม่ใช่ตัวเขา เลย เขาอยากเรียนหมอ อยากเรียนสถาปัตย์ เราก็บอกว่าอะไรก็ได้ เลือกเอา
เขาก็ไปสอบ จะซิ่วไปสถาปัตย์ สอบได้ด้วยนะ พ่อก็บอกว่า โอเคงั้นเปลี่ยนเลย เขาก็บอกว่าเปลี่ยนใจแล้ว เริ่มชอบเศรษฐศาสตร์แล้ว ก็เลยเรียนจนจบ จบแล้วเขาก็ไปทำงานมาร์เก็ตติ้ง ก็ได้เงินเดือนตั้งเยอะนะตอนนั้น
แม็กซ์: ใช่ฮะ ถือว่ารายได้ดี แฮปปี้มาก
แฮปปี้มากแล้วทำอยู่นานไหม
แม็กซ์: เดือนนึง (หัวเราะ) ก็ไปแข่งเดอะวอยซ์ไง
เพิ่งเริ่มงานสายนี้ คิดยังไงถึงไปแข่งรายการเดอะวอยซ์
แม็กซ์: คือทุกอย่างมันคาบเกี่ยวกันไปหมด ตอนที่ผมสมัครงาน กับตอนที่สมัครเดอะวอยซ์มันพร้อมกัน แต่เราเริ่มทำงานไปแล้ว เดอะวอยซ์เพิ่งจะได้ถ่าย
ดูเหมือนจำเป็นต้องเลือก แม็กซ์ได้มาปรึกษาคุณพ่อไหม
แม็กซ์: ก็ถามพ่อว่าเลือกทางนี้ดีไหม แต่ผมจำรายละเอียดตอนนั้นไม่ได้ รู้แต่ว่าตัวเรามีแพสชั่นทางดนตรีมากกว่า จริงๆ มันก็เหมือนแทบจะไม่ต้องคิด เพราะพอเลือกว่าจะเลิกทำงานแล้ว ผมก็ไปเรียนร้องเพลงจริงจัง
พ่อ: ตอนแรกเราก็คิดว่าเขาแค่อยากลอง อยากสมัครแข่งเล่นๆ แต่พอเขาเข้ารอบ ผมก็เริ่มคิดจะให้เขาไปเรียนเพิ่มกับครูโรจน์ (รุ่งโรจน์ ดุลลาพันธ์) เป็นครูสอนร้องเพลงที่เก่งมาก เพราะว่าพ่อกลัวเขาแพ้
ตอนนั้นครูโรจน์บอกว่ายังไม่พร้อม ต้องรออีกเดือนหรือสองเดือน ผมก็บอกว่ารอไม่ได้แล้ว ลูกผมจะแข่งแล้ว แกก็ขอเวลาอาทิตย์นึง พ่อก็พาแม็กซ์ไปเรียนกับครูโรจน์ที่บ้านเลย
แม็กซ์: ตอนแรกก็อยากจะไปเล่นๆ แต่พอเข้ารอบลึกขึ้น มันก็… อ๋อ แล้วถ้าจะต้องแข่งรอบต่อไปเรื่อยๆ มันไม่มีทางทำงานอื่นได้ เพราะงานหนักมาก ร้องเพลงก็ซ้อมเยอะมาก มันหนักทั้งคู่
ที่จริงผมคิดว่าเดี๋ยวแข่งเสร็จหรือตกรอบแล้วค่อยมาตัดสินใจอีกที แต่พอตกรอบ แล้วมันก็ยังมีกระแส มีงาน และมีทางไปของมัน ผมก็คิดว่า เราต้องโฟกัสทางนั้นดีกว่า หลังจากนั้นผมก็จริงจังนะ ผมก็ไปเรียน Sound Engineering เพิ่ม
ถ้าให้นิยามความเป็น แม็กซ์ เจนมานะ
แม็กซ์: ดื้อ…
คำถามนี้ให้คุณพ่อตอบดีกว่า (หัวเราะ)
พ่อ: เรื่องดื้อเขาก็คงเหมือนกับทุกคน พ่อว่าใครก็เป็น คือไม่อยากทำอะไรที่อึดอัดหรือไม่สบายใจ แต่ถ้าในพี่น้องสามคน แม็กซ์เขาจะชัดเจนว่าเขาชอบเรื่องดนตรี ส่วนมาร์กชอบเรื่องข้อมูล แต่ไม่ชอบยุ่งกับคน ส่วนน้องคนเล็กเขาชอบอยู่กับคน คือเรียนการโรงแรม แต่จบมา ก็มาบอกว่าหนูอยากไปขายของ เพราะเขาชอบทำงานกับคน ทั้งที่จริงมายด์ก็เป็นคนที่เล่นดนตรีดีนะ เล่นเปียโน ครูก็ชม แต่พอเข้ามหา’ลัยปุ๊บ เขาก็เลิกเล่นไปเลย
เพราะงั้น… ถ้านิยามความเป็นแม็กซ์ ก็คงต้องเรียกว่า เขาเป็นคนที่มาทางนี้
แม็กซ์: (หัวเราะ)
ตอนนี้คุณพ่อยังมีอะไรที่เป็นห่วงลูกชายคนนี้อยู่บ้าง
พ่อ: ไม่มีอะไรให้เป็นห่วงเลย ถ้าจะห่วงก็เรื่องที่ว่าเขาชอบกินน้ำแข็ง ชอบกินของเย็น แล้วก็กินอะไรที่มันทำลายเสียงตัวเอง
แล้วจนถึงวันนี้ เรื่องอะไรที่แม็กซ์ทำให้คุณพ่อภูมิใจมากที่สุด
พ่อ: เขาทำให้ภูมิใจตลอด ไม่เคยมีปัญหา ถ้าเราอยากให้เขาทำอะไร เขาก็ทำได้ดี ไม่ว่าจะทางไหน เรียนก็ทำได้ดี วาดรูปก็ทำได้ดี เขาเป็นคนที่พร้อมจะรับทุกอย่าง ก็ภูมิใจนะ ไม่มีอะไรที่ต้องเป็นห่วงเลย
COMMENTS ARE OFF THIS POST