READING

INTERVIEW: So Shine Band วงนักร้องเด็กป๊อปอะแคปเปล...

INTERVIEW: So Shine Band วงนักร้องเด็กป๊อปอะแคปเปล่าที่อยากร้องเพลงให้คนฟังรู้สึกดี

เมื่อพูดถึงวงดนตรีแนวประสานเสียงของประเทศไทย เชื่อว่าหลายคนคงต้องใช้เวลานึกพักใหญ่ กว่าจะได้รายชื่อออกมาสักวง และยิ่งเป็นวงดนตรีอะแคปเปล่าที่มีสมาชิกภายในวงเป็นเด็กอายุไม่ถึง 15 ปี แล้วละก็… ยิ่งหายากขึ้นเป็นหลายเท่า

จนกระทั่งเมื่อหลายเดือนก่อน เราได้เห็น คลิปการร้องเพลงประสานเสียงจากรายการ TOP ONE ตัวจริงชิงหนึ่ง (ออกอากาศทางช่อง one 31) คงไม่น่าแปลกใจนัก หากเสียงเพลงที่ร้องประสานกันได้อย่างไพเราะ พร้อมเพรียง และแบ่งจังหวะการร้องกันได้อย่างลงตัวนั้นจะมาจากศิลปินประสานเสียงมืออาชีพดีๆ สักวง แต่ไม่ใช่อย่างนั้น, เพราะเสียงเพลงที่ทำให้ แก้ม—วิชญาณี หนึ่งในคณะกรรมการในรายการ ให้คำนิยามว่าไพเราะราวกับเป็นเสียงสวรรค์นั้นมาจากวงประสานเสียงที่มีสมาชิกเป็นเด็กชายหญิงที่อายุเฉลี่ยประมาณ 11 ปี เท่านั้น

เพราะความสามารถและทักษะการร้องเพลงที่ดูจะเกินอายุไปสักหน่อย M.O.M จึงถือโอกาสชักชวนน้องๆ สมาชิกวง So Shine เจ้าของเสียงเพลงประสานที่เรียกความประทับใจจากทุกคนที่ได้ยิน ประกอบไปด้วย น้องอาย—ด.ญ.กัลยวรรธน์ สินรัตนภักดีกุล อายุ 11 ปี, น้องมิ้น—ด.ญ. มัณทิตา เดชปรียาวดี อายุ 11 ปี, น้องผิงหยาง—ด.ช.ณัฐภัทร พิชยานนท์ อายุ 12 ปี, น้องลุค—ด.ช.วงศ์ปกรณ์ ธนสินวณิชกุล อายุ 11 ปี และ น้องนโม—ด.ญ.ณภชา ประทีปวิศรุต อายุ 11 ปี รวมถึง ครูพี—ประพฤติ ทองธานี มาพูดคุยเรื่องการร้องเพลง การรวมตัวเป็นวง การฝึกซ้อม การดูแล และวิธีรับมือกับความตื่นเต้นบนเวทีของเด็กๆ ทั้งห้า

เริ่มจากด้านซ้ายมือคือ น้องมิ้น ถัดมาเป็นน้องลุคและน้องผิงหยาง ส่วนเด็กผู้หญิงที่ชูสองนิ้วคือ น้องนโมและน้องอาย

จุดเริ่มต้นของวง So Shine

ครูพี ครูพี่เลี้ยงผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของเด็กๆ วง So Shine เล่าจุดเริ่มต้นของวงให้ฟังว่า เป็นเพราะโรงเรียนสอนร้องเพลงของตนชอบพาเด็กๆ ไปร่วมงานจิตอาสา เพราะงานจิตอาสาทำให้เด็กๆ เรียนรู้ว่าการร้องเพลงมีประโยชน์ ทำให้คนอื่นมีความสุขได้ และเด็กๆ ยังได้ทำบุญร่วมกัน

แต่เหตุผลที่ต้องตั้งเป็นวงดนตรีก็เป็นเพราะเวลาพาเด็กๆ ไปร่วมงาน เด็กจะต้องรอคิวเพื่อขึ้นร้องเพลงนานมาก ก็เลยสอนเด็กๆ ให้ร้องประสานเสียง ร้องคอรัสไปด้วย

ทำไมถึงเป็นเด็กห้าคนนี้

เราเห็นว่าผิงหยางเป็นเด็กที่ร้องโน้ตต่างๆ ได้แม่น มีเสียงที่นุ่ม เหมาะกับร้องเพลงประสาน พอมีงานก็เลยให้เขาไปยืนที่ตำแหน่งไมค์ประสานบนเวที และให้เขาร้องประสานแบบที่นักร้องคอรัสเขาร้องกัน เขาก็ลองร้อง และก็ออกมาน่ารักดี

พอนโมเห็นผิงหยางร้องแบบนี้เขาก็สนใจ อยากร้องบ้าง ก็เลยให้เขาฝึกการทำเสียงต่างๆ เพื่อไปร้องคอรัส จากนั้นเวลาไปงานต่างๆ เขาก็เริ่มร้องคู่กัน มีไลน์ประสานกัน

หลังจากนั้นมีงานหารายได้ให้โรงพยาบาลโรคหัวใจ มีผิงหยางและนโมร้องคอรัส ส่วนมิ้นเขาเป็นคนที่ร้องเสียงหลักได้ หมายความว่าเขาฟังและก็แยกเสียงได้ ถึงแม้ว่ามิ้นจะเป็นคนคอรัสไม่ค่อยเก่ง แต่เราก็คิดว่าจะต้องมีคนที่ต้องร้องส่วนเสริม ส่วนแอดลิบ (adlib) เป็นคนเอื้อนเสริมส่วนน้องอายเขาสนิทกับนโม เขาอยากร้องประสานเสียงเพลงของ BNK ด้วยกัน เขาก็เลยลองร้องประสานเสียงคู่กันเอง และคนสุดท้ายน้องลุค เขารู้จักกับนโมและอายมาจากการประกวดรายการเดียวกันและตอนที่ลุคไปแข่งในรายการ We Kid Thailand เขาได้ร้องประสานบ่อยมาก และเขาก็อยู่วงประสานของโรงเรียน เราอยากจะเอาน้องลุคมาเข้าทีม เพื่อให้มีผู้ชายเพิ่มขึ้นอีกสักคน

หลังจากนั้นห้าคนนี้ก็วนไปคนละที่ บางงานก็เป็นผิงหยางกับนโมไปด้วยกัน บางงานก็อาจจะมีมิ้นด้วย เช่น ไปเปิดหมวกที่อาร์ตบ็อกซ์ ร้องเพลงช่วยเหลือน้องที่ด้อยโอกาส หรือหารายได้ให้โรงพยาบาลโรคหัวใจ

เรารู้สึกว่าเด็กคนนี้เป็นคนที่ร้องเพลงเพราะและประสานเสียงเก่ง ก็เลยลองถามว่ามาลองทำวงด้วยกันไหม เขาก็สนใจ พ่อแม่เขาก็สนใจ ก็เลยกลายเป็นวง So Shine ขึ้นมา

ทำไมถึงชื่อวง So Shine

น้องอายเล่าถึงที่มาของวงด้วยน้ำเสียงอันสดใสให้เราฟังว่า “คำว่า Shine เป็นคำพ้องเสียงกับคำว่า Shy ที่แปลว่าอาย คำว่า Child ที่แปลว่าเด็ก และคำว่า Shine ที่แปลว่าเจิดจรัส คำพ้องเสียงทั้งสามคำนี้นี้อธิบายสิ่งที่น้องๆ เป็นและทำได้อย่างลงตัว พวกเราอยากทำเพลงให้กำลังใจกับคนที่ไม่มั่นใจ ท้อแท้ อาย ไม่กล้าทำสิ่งที่ตัวเองต้องการ กลับมามีความสุขที่เจิดจ้าอีกครั้ง”

แนวเพลงของวง So Shine

เอกลักษณ์ของวง So Shine ก็คือการร้องเพลงประสานเสียงหรือ acapella ซึ่งน้องนโม น้องผิงหยาง และน้องมิ้นช่วยกันอธิบายให้เราฟังว่า “อะแคปเปล่าคือการร้องเพลงแบบใช้เสียงแทนเครื่องดนตรี ทำเสียงเป็นบีตบ็อกซ์ เสียงตบมือ และอาจจะมีเครื่องดนตรีประกอบนิดหน่อย เช่น เปียโนหรือกีต้าร์”

ในขณะที่ครูพี ช่วยเสริมข้อมูลว่า เมืองไทยมีศิลปินนักร้องหลายวงที่ร้องเพลงด้วยวิธีอะแคปเปล่า เช่น B5 เป็นการร้องเพลงประสานเสียงที่มีการเพิ่มเครื่องดนตรีเข้ามา ซึ่ง So Shine เองก็ได้รับแรงบันดาลใจอย่างนั้น

“วงของเราถูกเรียกว่าเป็นวง pop acapella ป็อปอะแคปเปล่า คือ การนำเพลงป็อบหรือเพลงฮิตทั่วไป เพลงที่เขาไม่ได้ร้องประสานเสียง เอามาทำให้มันลงตัว ทำให้เป็นเพลงป็อบที่ดูมีสีสันขึ้นมา ต่างจากต้นฉบับหรือต่างจากการประสานเสียงที่เราเคยฟัง”

ถ้าการร้องอะแคปเปล่าต้องใช้เสียงคนแทนเสียงเครื่องดนตรี ครูพีคิดว่าเสียงของน้องแต่ละคนเปรียบเหมือนเครื่องดนตรีอะไรบ้าง

“น้องอาย คือเปียโน เพราะน้องอายมีความแม่นย่ำในโน้ต มีเนื้อเสียงเป็นมาตรฐาน เป็นคนที่ได้ร้องเป็นเสียงหลัก เป็นเสียงที่นำอยู่เสมอ เพราะมีความพอดีในเสียง มีมาตรฐาน แม่นยำ และโดดเด่น

น้องผิงหยางน่าจะเป็นเบส คือมีความทุ่ม นุ่ม เป็นเสียงที่ยาก ถึงแม้ว่าคนจะไม่ได้ยินเสียงเบสชัดเจน แต่เบสก็จำเป็นมากๆ

น้องลุคเป็นเหมือนกีต้าร์ไฟฟ้า เป็นเสียงพิมพ์นิยมที่คนชอบฟัง และมีความโดดเด่น เสริมความเท่ห์ให้กับวง ถ้ามีกีต้าร์ไฟฟ้าในวงจะดูค่อนข้างแข็งแรงน้องนโมน่าจะเหมือนไวโอลิน นโมมีเสียงที่บาง สวย ใส ดูมีความน่าสนใจ หรูหรา ทำให้เพลงดูเก๋ไก๋ขึ้นไปอีก และเป็นสิ่งที่อาจจะไม่ได้ใส่เข้าไปในเพลงเยอะมาก แต่ก็หาไม่ได้ในวงอื่น

ส่วนน้องมิ้น เขามีแพตเทิร์นที่หลากหลาย ถ้าเป็นเครื่องเอ็กซ์ตร้าก็คงจะเป็นแซ็กโซโฟน คือเป็นไลน์ที่เติมเข้ามาแล้วดูเท่และโดดเด่น”

เข้าใจว่าการร้องเพลงประสานเสียงต้องใช้ทั้งเวลาในการฝึกซ้อม และการออกไปแสดงหรือรับงานต่างๆ ก็เลยอดสงสัยไม่ได้ว่า กิจกรรมเหล่านี้ ส่งผลกระทบต่อการเรียนของทุกคนหรือไม่

“การร้องเพลงทำให้การเรียนดีขึ้น เพราะทำให้มีสมาธิค่ะ” น้องมิ้นและน้องอายช่วยกันปฏิเสธว่าการร้องเพลงไม่ได้ทำให้พวกเธอเสียการเรียนแต่อย่างใด

ส่วนสาเหตุที่การร้องเพลงทำให้การเรียนดีขึ้น ครูพีอธิบายว่า “การร้องเพลงเล่นมันสนุกสนาน ไม่ต้องโฟกัส แต่การร้องเพลงสำหรับประกวดหรือเป็นศิลปิน ค่อนข้างต้องทำการบ้าน ต้องเอาเนื้อเพลงมานั่งเขียน มาแบ่งจังหวะหายใจ เขียนฟีลลิ่ง เขียนโน้ตเอื้อน เขียนเอาไว้แล้วก็ท่องจำให้ได้ เพราะการร้องเพลงประกวด มันต้องตั้งใจมาก ต้องเอาความรู้สึกของเราใส่เข้าไปในเพลง พร้อมกับควบคุมเสียง ควบคุมร่างกาย ควบคุมเทคนิคต่างๆ ดังนั้น น้องๆ จะต้องฝึกฝน เพราะว่าการจะร้องเพลงให้ดี ค่อนข้างยากยิ่งอยู่ในวงประสานเสียงยิ่งต้องมีสติและตั้งใจฟังมากๆ เลย เหมือนเป็นอีกขึ้นของการร้องเพลงประกวด คือนอกจากร้องให้เพราะแล้ว ต้องร้องให้ถูกเสียง ร้องให้เท่ากับเพื่อน มันมีรายละเอียดที่มากขึ้น เวลาร้องก็เหมือนได้ฝึกสมาธิตัวเองว่าเรากำลังทำอะไรอยู่ มันทำให้น้องๆ มีสมาธิมากขึ้น”

พูดถึงการฝึกซ้อม น้องๆ ทั้งห้าคนก็เล่าให้เราฟังว่า ช่วงเวลาซ้อมของวงก็คือ ทุกวันอาทิตย์เวลาห้าโมงเย็น แต่ไม่ใช่ซ้อมร้องเพลงแค่อาทิตย์ละหนึ่งวันแล้วจะทำให้พวกเขาจะร้องเพลงประสานกันได้ดีขนาดนี้ แต่ทุกครั้งที่มาซ้อมร้องเพลงด้วยกัน พวกเขาจะได้รับการบ้านจากครู เป็นเสียงไลน์เฉพาะของแต่ละคนที่ต้องไปฝึกซ้อมร้องที่บ้าน ก่อนจะมาเจอกันในครั้งต่อไป

บทบาทและหน้าที่ของทุกคนใน So Shine

ครูพีเล่าให้ฟังว่า น้องๆ ทุกคนจะรู้ดีว่าตัวเองและเพื่อนคนไหนเหมาะที่จะร้องเสียงไหน เช่น อายจะร้องเป็นเสียงหลัก มีคอรัสบ้าง มิ้นเป็นเสียงหลักและแอดลิบ ผิงหยางเป็นเมนคอรัสเสียงต่ำ ลุคเป็นเสียงหลักและมีคอรัสบ้าง ส่วนนโมเป็นเมนคอรัสเสียงสูง

เวลาร้องเพลงอายจะเป็นคนคอยตั้งคีย์ให้เพื่อน  เพราะอายเป็นคนทำงานค่อนข้างเป็นระบบ เขาก็จะคอยเตือน และคอยถามเราเพื่อความแม่นโน้ต ผิงหยางจะคอยเบรกมิ้นกับลุคที่เล่นซน ส่วนนโมจะเป็นคนคอยไกล่เกลี่ยปัญหาต่างๆ เวลาซ้อมร้องเพลงเครียดๆ มิ้นมักจะเป็นคนที่พูดอะไรตลกๆ ออกมา ทำให้บรรยากาศผ่อนคลาย และมิ้นยังเป็นคนที่ตัดสินใจเร็ว เวลาเกิดปัญหา มิ้นจะช่วยเรื่องการตัดสินใจได้ดี

ไม่ใช่แค่เด็กที่ทำงานกันเป็นทีม แต่พ่อแม่ก็ต้องทำงานเป็นทีมด้วยเช่นกัน

ระหว่างการให้สัมภาษณ์ เราประทับใจการให้ความร่วมมือเป็นอย่างดีจากคุณพ่อคุณแม่ของน้องๆ ซึ่งครูพีก็ไม่ลืมที่จะเล่าให้ฟังว่า เวลาไปแข่งขัน คุณแม่แต่ละคนก็จะมีหน้าที่ของตัวเอง เช่น  คุณแม่ของน้องอายจะดูแลเรื่องเสื้อผ้า เสื้อผ้าที่มิ้นใส่ประกวดหรือใส่ไปออกรายการ ครึ่งหนึ่งเป็นเสื้อผ้าของน้องอาย คุณแม่น้องลุคแต่งหน้าและทำผมได้ เด็กๆ ก็จะชอบให้คุณแม่ลุคแต่งหน้าให้ ส่วนคุณแม่ของผิงหยางเป็นคนดูแลสุขภาพของทุกคน เขาจะหอบพวกอุปกรณ์ล้างจมูก ถุงยา ผ้าเปียก แว็กซ์ทาผม มาเผื่อทุกคน ส่วนบ้านของนโม คุณแม่เป็นหมอ ถ้าผมไม่ว่างจริงๆ เขาจะคอยช่วยเรื่องคิวงานและประสานงาน สุดท้ายแม่น้องมิ้นก็ค่อยขับรถซื้อของ ส่งไปรษณีย์ให้แฟนคลับ

เวลาขึ้นเวที วิธีรับมือกับความตื่นเต้นของแต่ละคน มีดังนี้

อาย: ก็จะทำสมาธิประมาณสองนาที มันจะทำให้รู้สึกตื่นเต้นน้อยลง ไม่งั้นก็ดมยาดมค่ะ พี่ลิซ่า Blackpink บอกมาถ้ารู้สึกตื่นเต้นให้ดมยาดม

มิ้น: หายใจเข้าออกลึกๆ จนความรู้สึกตื่นเต้นค่อยๆ ลดลง

ผิงหยาง: ของผมก็คิดว่าไม่มีอะไรจะเสีย ต้องเตรียมใจก่อนว่าถ้ามันเกิดอะไรขึ้นเราจะไม่เสียใจ มันก็จะไม่ตื่นเต้น

ลุค: ถ้าผมร้องคนเดียว ก่อนขึ้นเวทีผมจะตื่นเต้นมาก แต่พอขึ้นไปบนเวทีมันเหมือนได้ปลดปล่อยความตื่นเต้นนั้นออกมา เราร้องไปแล้ว ก็ไม่มีอะไรจะเสียแล้ว ตอนร้องเสร็จเราก็จะสบายใจเยอะขึ้นเลย

นโม: ของหนูชอบมีตุ่มๆ ขึ้นที่มือ หนูก็จะแงะมันเล่น มันช่วยหนูได้ค่ะ มันใช้ได้กับหนูคนเดียวนะคะ แต่ถ้ามีเพื่อนก็จับมือเพื่อน ถ้าไม่มีเพื่อนอยู่ก็เอามือถูเสาก็ได้

เมื่อถามว่า นอกจากความตื่นเต้นตอนขึ้นเวทีแล้ว ก่อนการขึ้นเวทีที่ต้องผ่านการฝึกและซ้อมมาอย่างหนัก เด็กๆ รับมือกับมันอย่างไร

น้องๆ ก็เล่าให้เราฟังว่า พวกเขาทั้งเหนื่อย ทั้งท้อ มีอยู่ครั้งหนึ่ง น้องอายถึงกับร้องไห้ออกมา เพราะถึงแม้การร้องเพลงจะเป็นสิ่งที่พวกเขารัก แต่เมื่อต้องร้องเพลงเพื่อประกวดก็ทำให้พวกเขารู้สึกแย่เวลาที่ทำไม่ได้ตามที่คาดหวัง

แต่เวลาเหนื่อยและท้อ แต่ละคนก็มีวิธีจัดการกับอารมณ์ต้วเองดังนี้

นโม: อ่านหนังสือ แล้วก็จะลืมเรื่องที่เครียดไปชั่วครู่ หรือไม่สมมติถ้ามีโปรแกรมไปเที่ยว เวลาว่างก็จะหาข้อมูลแหล่งท่องเที่ยวในโทรศัพท์

ลุค: ผมจะคิดเรื่องเกมอย่างแรกครับ และพอผมคิดเรื่องเกมมันก็ทำให้ผมสบายขึ้นประมาณ 20-30 นาที พอทำใจได้ก็มาสู้ใหม่

ผิงหยาง: บางทีเปิดคลิปเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ หลักการฟิสิกส์ ดูรายการฟิสิกส์สนุก หรือสรุปฟิสิกส์อย่างง่ายภายในห้านาที

มิ้น: ดูการ์ตูน วาดรูป ทำงานอดิเรก เต้นโคฟเวอร์

อาย: เวลาเครียดหนูจะทำสามอย่าง อย่างแรกคือเล่นโทรศัพท์ อย่างที่สองคือหาของกิน และอย่างที่สามก็คือนอนค่ะ

 

 

สัมภาษณ์วันที่ 20 กุมภาพันธ์ และ 26 มีนาคม 2562
ครูพี—ประพฤติ ทองธานี ครูพี่เลี้ยงผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของเด็กๆ วง So Shine

Pitchaya T.

ความบริสุทธิ์ไร้เดียงสาเป็นของขวัญจากธรรมชาติ ที่ช่วยยืนยันว่ามนุษย์คนนี้คือเด็ก :)

RELATED POST

COMMENTS ARE OFF THIS POST