READING

WORK WITH KIDS: คุยกับครูปุ๊ก—ชลมาศ คูหารัตนากร นั...

WORK WITH KIDS: คุยกับครูปุ๊ก—ชลมาศ คูหารัตนากร นักพัฒนาการ พฤติกรรมและสุขภาพจิตเด็ก

Play Academy

จากจุดเริ่มต้นในการเรียนวิชาวรรณกรรมเด็กและวัยรุ่นจนเป็นแรงบันดาลใจให้ลงเรียนวิชาจิตวิทยาพัฒนาการเพิ่มเติม ยิ่งทำให้แน่ใจว่าการทำงานเกี่ยวกับเด็กและการเลี้ยงดูของพ่อแม่คือเส้นทางที่เหมาะกับตัวเอง

ครูปุ๊ก—ชลมาศ คูหารัตนากร นักพัฒนาการ พฤติกรรมและสุขภาพจิตเด็ก ผู้ก่อตั้งและผู้อำนวยการสถาบัน Play Academy สถาบันการศึกษานอกระบบที่มุ่งพัฒนาเด็กโดยใช้แนวคิดจัดการศึกษาผ่านการเล่นและการลงมือทำอย่างเป็นรูปธรรมเป็นอีกหนึ่งคนที่มีประสบการณ์การเป็นครูโรงเรียนในระบบมาก่อน แต่มีแนวคิดที่อยากจัดกระบวนการศึกษาและเห็นข้อจำกัดของการจัดการเรียนการสอนในโรงเรียนจึงตัดสินใจศึกษาต่อด้าน Child Development : Behavior and Mental Health และนำแนวทางการศึกษาที่เห็นว่าเป็นประโยชน์ต่อเด็กและครอบครัวโดยตรงมามาปรับใช้ในสถาบัน Play Academy ของตัวเอง

อะไรคือแรงดึงดูดที่ทำให้อยากกลับมาทำงานกับเด็กอีกครั้ง

หนึ่ง—เราเป็นคนให้ความสำคัญกับความทรงจำในเด็กปฐมวัย เพราะเราเชื่อว่าความทรงจำดีหรือไม่ดี ที่ก่อร่างสร้างตัวขึ้นมาในคนคนหนึ่ง มันจะอยู่กับเขาไปตลอดชีวิต ถ้าความทรงจำนั้นดี นึกถึงทีไรก็ชื่นใจ มีคุณค่า มีความหมายกับใจเขา ในขณะเดียวกันถ้ามีความทรงจำที่ไม่ดี หรือถูกเลี้ยงดูด้วยวิธีที่ทำให้เกิดบาดแผลในจิตใจ มันก็จะเป็นความทรงจำที่คิดถึงเมื่อไหร่ ก็รู้สึกไม่ดี

สอง—เราเป็นคนชอบเรื่องพัฒนาการเด็ก และงานที่เกี่ยวกับการจัดกระบวนการเรียนรู้ สามารถย่อยเรื่องยากให้เป็นเรื่องง่ายได้

สุดท้าย—เราชอบทำงานกับพ่อแม่ของเด็กๆ ชอบให้คำแนะนำที่พ่อแม่นำไปใช้แล้วช่วยส่งเสริมหรือแก้ปัญหาให้ลูกเขาได้จริงๆ

นั่นคือจุดเริ่มต้นของ Play Academy หรือเปล่า

อย่างที่บอกว่าพอเราอินกับเรื่องนี้มาก รู้ว่าการจัดการศึกษาเป็นเรื่องสำคัญและในเด็กปฐมวัยไม่มีอะไรที่ทำให้เรียนรู้ได้ดีเท่ากับการเล่น การเล่นเป็นการใช้ประสาทสัมผัสทั้งห้าในการรับรู้สิ่งรอบตัว เด็กได้หยิบจับสัมผัส เมื่อเด็กได้เรียนรู้ผ่านประสาทสัมผัส มันก็คือการเรียนรู้ผ่านการลงมือทำ แล้วก็จะกลายเป็นความเข้าใจที่ไปอยู่ในเนื้อตัวของเขาจริงๆ ไม่ใช่การท่องจำ

เพราะฉะนั้นการเล่น การเรียนรู้ผ่านลงมือทำก็เลยกลายเป็นสิ่งที่เราเอามาต่อยอดในการสร้างกระบวนการการเรียนรู้อย่างถูกต้อง เป็นการเรียนรู้ที่เอื้อกับการทำงานตามธรรมชาติของสมองเด็ก

เพราะฉะนั้นการเล่นและการเรียนรู้ผ่านลงมือทำจึงกลายเป็นสิ่งที่เราเอามาต่อยอดในการสร้างกระบวนการการเรียนรู้อย่างถูกต้อง และเป็นการเรียนรู้ที่เอื้อกับการทำงานตามธรรมชาติของสมองเด็ก ก็เลยใช้คำว่า Play มารวมกับการเป็นสถานศึกษา ก็เลยตามท้ายด้วยคำว่า Academy เพราะหลักสูตรของเราใช้การเล่นเป็นหลัก

ทำไมถึงเน้นพัฒนาศักยภาพสมองของเด็กเป็นหลัก

ถ้าเราศึกษาลงไปจริงๆ เรื่องพัฒนาการเด็กหรืออะไรก็ตามที่เป็นการส่งเสริมที่จะทำให้เด็กคนหนึ่งเติบโตขึ้นมาอย่างดี ทุกอย่างมันเริ่มต้นที่สมอง ถ้าเด็กที่มีพัฒนาการผิดปกติ ก็แสดงว่าสมองส่วนที่ควบคุมพัฒนาการด้านนั้นทำงานผิดปกติ  การกระตุ้นประสาทสัมผัสก็เป็นเรื่องของเส้นใยประสาทในสมอง รวมถึงลักษณะนิสัย เช่น มีทักษะควบคุมตนเอง มี EF ที่ดี หรือแม้แต่การควบคุมอารมณ์ตนเองได้ ก็เริ่มจากสมอง ในส่วนของหลักสูตรคุณพ่อคุณแม่ก็อาจจะต้องมาคุยรายละเอียดกันอีกทีว่าในแต่ละช่วงอายุและหลักสูตรแบบไหนถึงจะเหมาะสมกับลูก

Play Academy มีหลักสูตรแบบไหนบ้าง

เราแบ่งหลักสูตรเป็น 3 ช่วงอายุ หลักสูตรแรกคือช่วงอายุ 1.9 – 3.6 ขวบ เราเน้นเรื่องพัฒนาการเป็นหลัก พัฒนากล้ามเนื้อมัดเล็กมัดใหญ่ มือและตาสัมพันธ์กัน การปรับตัว อารมณ์ และสังคม

หลักสูตรที่สองคือช่วงอายุ 3.6 – 6.6 ขวบ หลักสูตรนี้จะต่อยอดขึ้นมา พอเด็กมีพัฒนาการที่ดีแล้ว เรื่องต่อมาที่เราเน้นมากคือ ทักษะการคิดวิเคราะห์ เชาวน์ปัญญา สมาธิ และ EF การทำกิจกรรมที่เน้นการรับรู้ทางสายตาก็นำมาใช้พัฒนาเด็กในวัยนี้เยอะเพราะการเรียนรู้ตลอดชีวิต เราต้องใช้สายตาถึง 75 เปอร์เซ็นต์ เพราะฉะนั้นการฝึกการสังเกตภาพ มันก็จะเป็นการเตรียมความพร้อมทักษะการคิด (cognitive skills) ต่อไปกับเด็กได้ดีมากๆ

หลักสูตรที่สามคือช่วงอายุ 7 – 11 ปี จะเน้น C4 ซึ่งเน้นพัฒนาทักษะชีวิต คือ Critical thinking การคิดวิเคราะห์อย่างมีวิจารณญาณ Creativity การมีความคิดที่หลากหลายและไม่ยึดติดกับความคิดใดความคิดหนึ่ง Communication การสื่อสารอารมณ์และความคิดออกมาให้คนอื่นเข้าใจ และ Collaboration การทำงานเป็นทีม เพราะการทำงานในชีวิตจริงเราไม่สามารถทำทุกอย่างคนเดียวได้ จำเป็นที่จะต้องเรียนรู้การปรับตัวในการอยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคมอย่างมีความสุขด้วย

การเป็นคุณครูในโรงเรียนสู่เจ้าของสถาบัน มีความแตกต่างกันอย่างไร

แตกต่างกันโดยสิ้นเชิงค่ะ เราเคยเป็นครูในโรงเรียนที่เรียกได้ว่าเป็นโรงเรียนเอกชนชั้นนำของประเทศ แต่เราก็ยังพบว่าเนื้อหา วิธีการสอน และการจัดระบบการเรียนรู้ที่มีให้เด็กมันก็ยังเป็นแนวการท่องจำอยู่เยอะ แต่พอเป็นเจ้าของสถาบันเอง เราสามารถออกแบบการเรียนการสอนต่างๆ ให้เป็นไปตามแผนที่วางเอาไว้ได้ทั้งหมด ก็คือการเน้นให้เด็กได้ลงมือทำจริงๆ ในหนึ่งคาบเรียนเราลงมือทำไปแล้ว 95 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งอีก 5 เปอร์เซ็นต์ ก็จะให้เด็กทำแบบฝึกหัดในสิ่งที่เขาได้ลงมือทำไป เพื่อที่จะดูว่า พอลงมือทำแล้ว เขาจะสามารถประยุกต์จากการลงมือทำออกมาเป็นรูปธรรมได้แค่ไหน

“การสอบก็มีข้อดีในการวัดวินัย เราต้องยอมรับว่าเด็กที่ตั้งใจเรียนคือเด็กที่มีวินัย แต่ถ้าถามถึงวิธีประเมินจริงๆ การสอบที่มีอยู่ทุกวันนี้เหมือนเป็นการวัดความจำไม่ใช่ความรู้”

รู้สึกเหมือนแก้ปัญหาได้ตรงจุดมากกว่าใช่ไหม

ใช่ค่ะ ในโลกที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว แต่เรายังเรียนหนังสือในเนื้อหาเมื่อ 20 ปีที่แล้วอยู่ และยังเน้นการท่องจำอยู่ อย่างเรามีลูกอยู่ชั้น ป. 6 เขาเรียนวิชาประวัติศาสตร์ เปิดมาบทแรกก็คือการเก็บข้อมูลทางประวัติศาสตร์ ซึ่งเด็กก็ต้องท่องจำอยู่ในหนังสืออยู่ดี เราก็เลยพาลูกไปพิพิธภัณฑ์เพื่อให้เขาได้เห็นของจริงว่าอะไรเกิดขึ้นในประวัติศาสตร์ช่วงไหนบ้าง แล้วก็พาไปที่คลังความรู้ที่เก็บเอกสารของพิพิธภัณฑ์จริงๆ เลยว่าการที่จะสรุปประวัติศาสตร์ออกมาสักเรื่องหนึ่ง มันมีแหล่งที่มาที่ไปจากอะไรบ้าง เขาเก็บเอกสารกันยังไง และให้เด็กได้ฟังประสบการณ์จริงจากคนที่เขาทำงานอยู่ที่นี่ จะเห็นว่าเรื่องไหนเราก็สามารถเรียนนอกห้องเรียนได้ มันไม่ใช่การมาเรียนหนังสือแล้วก็ท่องจำไปสอบ การสอบก็มีข้อดีในการวัดวินัย เราต้องยอมรับว่าเด็กที่ตั้งใจเรียนคือเด็กที่มีวินัย แต่ถ้าถามถึงวิธีประเมินจริงๆ การสอบที่มีอยู่ทุกวันนี้เหมือนเป็นการวัดความจำไม่ใช่ความรู้ เพราะส่วนตัวเราชอบให้เด็กทำโปรเจ็กต์ ไม่ต้องใหญ่โตก็ได้ แต่เขาสามารถได้เรียนรู้อะไรจริงๆ ที่เป็นแกนหลักของวิชานั้น

“การเป็นครูในระบบโรงเรียนไทยมีภาระงานเยอะแยะอะไรไม่รู้ไปหมด มันไม่ใช่แค่เตรียมการสอนแล้วสอนนักเรียน แต่สิ่งที่บั่นทอนครูมากๆ คือระบบ ‘ประเมินคุณภาพการศึกษา’ ที่สร้างภาระงานนอกเหนือการสอนนักเรียนอย่างมหาศาล จนครูไม่สามารถทำหน้าที่ได้อย่างเต็มที่”

แล้วยังมีอะไรที่น่าเป็นห่วงอีก

เงินเดือนครูในโรงเรียนน้อยมากจนไม่สามารถที่จะดึงดูดหรือว่าเก็บคนเก่งเอาไว้ได้ ทั้งที่อาชีพครูเป็นอาชีพที่สำคัญ การจัดการศึกษาไม่ใช่การจัดการแค่ด้านวิชาการ แต่มันลงรากลึกไปถึงการใช้ชีวิต ทัศนคติมุมมองด้วย แต่ประเทศของเรามีทัศนคติเกี่ยวกับอาชีพครูแบบผิดๆ เช่น ค่าตอบแทนที่น้อยจนไม่สอดคล้องกับการใช้ชีวิต ส่งผลให้คุณภาพชีวิตไม่ดี ก็เลยทำให้คนที่อยากเป็นครู ขอไปทำอาชีพอื่นที่มีค่าตอบแทนดีกว่าและก้าวหน้ามากกว่า

การเป็นครูในระบบโรงเรียนไทยมีภาระงานเยอะแยะอะไรไม่รู้ไปหมด มันไม่ใช่แค่เตรียมการสอนแล้วสอนนักเรียน แต่สิ่งที่บั่นทอนครูมากๆ คือระบบ ‘ประเมินคุณภาพการศึกษา’ ที่สร้างภาระงานนอกเหนือการสอนนักเรียนอย่างมหาศาล จนครูไม่สามารถทำหน้าที่ได้อย่างเต็มที่

ในฐานะครู คิดว่าควรจัดการหรือแก้ปัญหานี้อย่างไร

เมื่อเทียบกับประเทศที่ให้ความสำคัญกับอาชีพครู ประเทศที่ให้เงินเดือนครูสูงที่สุดในโลกคือนอร์เวย์ ครูปฐมวัยเงินเดือนประมาณ 280,000 บาท แล้วการเป็นครูในประเทศที่ให้ความสำคัญกับการศึกษา ก็ไม่ได้เป็นกันง่ายๆ เพราะเขาให้ความสำคัญกับการพัฒนาทรัพยากรบุคคลในประเทศ เขาถึงกล้าที่จะลงทุนกับสิ่งที่สร้างทรัพยากรบุคคลอันเป็นทรัพยากรที่สำคัญที่สุดในการพัฒนาประเทศ

เมื่อเทียบกับบ้านเรา ยังมีคนเลือกเป็นครูเพราะเป็นอาชีพที่มีเงินบำนาญหลังเกษียณ ไม่ได้เกิดจากอุดมการณ์และความตั้งใจจริง แต่เราเชื่อว่ามีครูในประเทศไทยอีกมาก ที่มีจิตวิญญาณของความเป็นครู ทุ่มเทและเสียสละเพื่อที่จะสร้างอนาคตของเด็กให้ดีจริงๆ ครูบางคนลงพื้นที่เยี่ยมบ้านเด็กโดยที่ไม่ได้มีคำสั่ง แต่อยากจะไปดูสภาพชีวิตความเป็นอยู่ของเด็ก ซึ่งถ้าเขามีความตั้งใจขนาดนี้ แล้วได้รับค่าตอบแทนที่เหมาะสมคุ้มค่า มันก็จะดึงดูดคนเก่งเข้ามา เมื่อครูเปลี่ยน ระบบการศึกษาเปลี่ยน ทรัพยากรบุคคลในประเทศก็จะเปลี่ยนไปด้วย

ดังนั้น ถ้าอยากจะแก้ไขปัญหาเรื่องนี้จริงจัง ควรเริ่มจากมุมมองของผู้ที่มีอำนาจในการบริหารประเทศ ถ้าเขาตีโจทย์ไม่แตกว่าการพัฒนาประเทศที่ยั่งยืน ต้องเริ่มจากทรัพยากรบุคคลในประเทศ เราก็จะถอยหลังลงไปเรื่อยๆ และถึงแม้ว่าจะสามารถปฏิรูประบบการศึกษาได้ แต่ถ้าระบบสังคมไม่เปลี่ยน มันก็ไม่มีประโยชน์

ช่วยอธิบายคำว่า ถ้าระบบสังคมไม่เปลี่ยน…

เด็กปฐมวัยเป็นวัยที่กำลังจะสร้างชีวิตในอนาคตต่อไป และเป็นวัยแห่งส่วนรวมพัฒนาการด้านต่างๆ การลงทุนกับเด็กวัยนี้จึงคุ้มค่ามากที่สุด เราควรสร้างระบบการศึกษาที่เน้นการเรียนรู้ตลอดชีวิต ตอนนี้คนรุ่นใหม่ที่มีอุดมการเริ่มมีบทบาทในการบริหารประเทศมากขึ้นแล้ว เราก็มีความหวังลึกๆ ว่าสังคมจะมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น แต่ก็ต้องมาดูว่าเราทำงานกันจริงจังขนาดไหน เราเชื่อว่าไม่มีอะไรที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้ ถ้าเราคิดจะทำกันจริงๆ

สัมภาษณ์วันที่ 1 กรกฎาคม 2567

Supinya R.

ชอบอ่านนิยายสยองขวัญ ชอบเขียนไดอารี่ และเป็นคุณแม่จำเป็นในบางเวลา :-)

COMMENTS ARE OFF THIS POST