หากพูดถึงรายการบันเทิงที่เปิดโอกาสให้เด็กๆ ได้แสดงความสามารถหรือความถนัดของตัวเอง เราอาจนึกถึงรายการประกวดร้องเพลงหรือการแสดงจากเด็กๆ เป็นอย่างแรก
จนกระทั่งปี 2018 รายการ มาสเตอร์เชฟจูเนียร์ไทยแลนด์ ซีซั่นที่ 1 เกิดขึ้นและทำให้ผู้ใหญ่อย่างเราอดที่จะประทับใจในความสามารถด้านการทำอาหารของเด็กๆ ไม่ได้ และเมื่อรายการดำเนินมาถึงซีซั่นที่ 3 หนึ่งในแชมป์มาสเตอร์เชฟจูเนียร์ไทยแลนด์ คนล่าสุด (เพราะเป็นปีแรกที่รายการมีแชมป์ถึงสองคน) ก็คือ น้องซันจิ—กรรณปกร อภิบุญอำไพ เด็กชายวัย 11 ปี ที่ไม่ค่อยพูด ไม่ค่อยแสดงสีหน้า ยิ้มเล็กๆ เมื่อทำผลงานได้ดี และก็รอยยิ้มแบบเดียวกันนั้น ในวันที่เขารู้สึกไม่ค่อยมั่นใจในตัวเอง แต่ทุกครั้งที่ลงมือทำอาหาร ซันจิมักจะแสดงฝีมือโดดเด่น และสามารถแก้ไขสถานการณ์เฉพาะหน้าได้เสมอ เราจึงพยายามขอคิวหนุ่มน้อยสุดฮอตกับคุณแม่นิ่ม—เสาวรส ธนาดำรงค์ เพื่อทำความรู้จักกับตัวตนของซันจิและครอบครัวให้มากขึ้นอีกนิด
เวลาเห็นเด็กๆ เติบโตอย่างมีคุณภาพ ก็อดไม่ได้ที่จะต้องถามถึงวิธีการเลี้ยงดูของครอบครัว
คุณแม่: จริงๆ ครอบครัวเราก็ไม่ได้มีสไตล์การเลี้ยงลูกที่ชัดเจน แต่จะเน้นไปที่แนวบูรณาการ ให้ลูกได้ลองทำ ลองเรียนรู้ด้วยตัวเอง พาลูกไปลองทำอะไรใหม่ๆ เรื่อยๆ เช่น ตอนอายุประมาณ 5 ขวบ แม่ก็ลองพาไปเรียนปั้นดิน แล้วเขาชอบ ก็เลยทำให้รู้ว่าซันจิชอบศิลปะ และพอดีที่เดียวกันก็มีสอนทำอาหาร ก็เลยลองให้เขาเรียนทำอาหาร ปรากฏว่าเขาชอบมาก
เริ่มเห็นแววว่าลูกน่าจะชอบทำอาหารจริงจังตอนไหน
คุณแม่: ปกติเวลาแม่ทำอาหารมื้อเย็นให้ซันจิกิน เขาก็จะชอบมาอยู่กับเรา แล้วก็จะชอบเข้ามาขอป่วน ขอช่วยทำอะไรหลายอย่าง เช่น ตีไข่ จับตะหลิว จับกระทะ
ตอนช่วงโควิด-19 เราก็กลัวเขาเบื่อที่ไม่ได้ไปโรงเรียน ก็เลยพาเขาไปเรียนทำอาหารจริงจังขึ้น แล้วหลังจากนั้นเขาก็ชอบดูคลิปทำอาหาร ถ้ามีเมนูที่เขาเห็นแล้วอยากกิน เขาจะมาบอกเราก็จะพาเขาไปซื้อวัตถุดิบ กลับมาเขาก็เปิดคลิปดูและทำตาม
เป็นเพราะคุณแม่ชอบทำอาหารด้วยหรือเปล่า
คุณแม่: ไม่เลยค่ะ (หัวเราะ) ก็มีแต่ทำอาหารให้ลูกกินแบบง่ายๆ เช่น หมูทอด ไก่ทอด ผัดผัก
ทำไมถึงตัดสินใจไปแข่งขันในรายการมาสเตอร์เชฟจูเนียร์ไทยแลนด์
คุณแม่: ตอนนั้นคุณพ่อส่งข้อมูลมาให้ดูว่ารายการมาสเตอร์เชฟจูเนียร์ฯ กำลังเปิดรับสมัคร น้องซันจิก็บอกว่าอยากลองดู คุณพ่อก็เลยช่วยถ่ายคลิปแนะนำตัว และถ่ายคลิปตอนทำอาหารส่งไปสมัคร หลังจากนั้นรายการก็เรียกไปออดิชั่น คือต้องไปทำอาหารจริงๆ ต่อหน้าคณะกรรมการ น้องก็คิดเมนูเองว่าอยากทำอะไร ส่วนแม่ก็ช่วยซื้อวัตถุดิบไปให้
น้องซันจิ: อยากเก็บประสบการณ์ครับ แล้วก็อยากหาความรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับการทำอาหาร ซึ่งผมชอบมากๆ ครับ
ต้องเตรียมตัวอย่างไร
น้องซันจิ: ก็พยายามฝึกซ้อม แล้วก็หาเมนูที่มีความคิดสร้างสรรค์ที่คิดว่าทำแล้วจะพาผมเข้ารอบไปได้ครับ
เมนูที่ทำให้ผ่านรอบออดิชั่นมาได้คือ…
น้องซันจิ: สเต็กปลาแซลมอนราดซอสฮอลแลนเดส
จากวันที่ส่งคลิปไปสมัคร คุณแม่คิดไหมว่าน้องจะมาถึงจุดนี้
คุณแม่: ไม่เลย (หัวเราะ) ตอนนั้นแค่คิดว่าอยากให้เขาได้ลงสนาม ได้ลองไปหาประสบการณ์ ไม่ได้คาดหวังว่าต้องได้แชมป์ ทุกครั้งที่น้องไปแข่งก็ปล่อยให้เขาคิดเมนูเอง แล้วก็ฝึกซ้อมเอง ส่วนแม่ก็เชื่อใจลูก ปล่อยให้ลูกลองทำอย่างเต็มที่
“ตอนนั้นแค่คิดว่าอยากให้เขาได้ลงสนาม ได้ลองไปหาประสบการณ์ ไม่ได้คาดหวังว่าต้องได้แชมป์ ทุกครั้งที่น้องไปแข่งก็ปล่อยให้เขาคิดเมนูเอง แล้วก็ฝึกซ้อมเอง ส่วนแม่ก็เชื่อใจลูก ปล่อยให้ลูกลองทำอย่างเต็มที่”
แต่ก็จะมีบางบททดสอบที่เห็นได้ว่าน้องรู้สึกกดดัน หลังการแข่งขันคุณแม่รับมืออย่างไร
คุณแม่: ปกติเวลาที่เขาไปแข่ง แม่จะไม่เห็นเลยว่าสถานการณ์ในนั้นเป็นยังไงบ้าง ทีมงานจะให้ครอบครัวนั่งรอข้างนอกและไม่มีจอให้ดู แต่พอแข่งเสร็จออกมา เขาก็จะมาเล่าให้ฟัง บางครั้งที่เขาบอกว่ารู้สึกเฟล รู้สึกว่าตัวเองทำไม่ดี แม่ก็จะปลอบว่าไม่เป็นไร เพราะลูกทำเต็มที่แล้ว
น้องซันจิ: เวลาที่กดดันผมก็ต้องพยายามตั้งสติและคอยผลักดันตัวเองครับ แล้วก็อยากทำให้พ่อแม่ภูมิใจครับ
โจทย์หรือบททดสอบไหนที่ยากและทำให้รู้สึกกดดันมากที่สุด
น้องซันจิ: โจทย์ของหวานครับ เพราะผมไม่ถนัดเลย
แล้วทำอย่างไร
น้องซันจิ: ก็พยายามคิดให้ได้ครับว่าจะทำเมนูอะไรที่สามารถทำให้ผมเข้ารอบลึกๆ ให้ได้
แล้วบททดสอบไหนที่ทำแล้วรู้สึกภูมิใจในฝีมือตัวเองมากที่สุด
น้องซันจิ: บททดสอบความละเอียดและความแม่นยำ (Pressure Test) ครับ ตอนนั้นทำเฟตตูชินีเส้นสด สเต๊กปลาแซลมอน ครีมซอสผัดกะเพรา และกรีนออยล์ที่ทำจากใบกะเพรา เชฟเอียนทำให้ดูเป็นตัวอย่าง พอได้รับคำชมจากเชฟ เป็นที่น่าพอใจมากครับ
คิดว่าการไปแข่งขันในรายการมีประโยชน์กับตัวเองอย่างไรบ้าง
น้องซันจิ: ได้ความรู้ครับ ได้ความคิดสร้างสรรค์ ได้ทักษะการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ได้เพื่อนสนิท ได้หลายอย่างเลย
ในรายการ น้องซันจิดูเป็นคนนิ่งๆ จนโดนแซวว่ายิ้มยากอยู่บ่อยๆ ตัวจริงน้องเป็นอย่างนั้นหรือเปล่า
คุณแม่: ที่จริงเขาก็มีอารมณ์สนุกสนานเฮฮาเหมือนเด็กทั่วไป แต่ก็เป็นคนนิ่งๆ ตอนเด็กๆ เขาก็จะมีฉายาว่าเป็น เสือยิ้มยาก เพราะเขาหน้านิ่งตลอดเวลา จนชอบโดนแซวว่า ‘นี่ยิ้มแล้วเหรอ’ หรือ ‘นี่สนุกแล้วใช่ไหม’
แต่เราก็จะเห็นชัดว่าเขามีความสุขตอนทำอาหารมาก บางทีทำไปร้องเพลงไป มันทำให้เราย้อนไปคิดถึงตอนที่พาลูกไปเรียนปั้นดินครั้งแรก เขามีอารมณ์คล้ายๆ กับตอนนั้น
ทำไมซันจิถึงชอบทำอาหารขนาดทำไปร้องเพลงไป
น้องซันจิ: เพราะว่าตอนที่ทำอาหารรู้สึกผ่อนคลายครับ พอผ่อนคลายก็มีความสุข แล้วก็อารมณ์ดี
พอทำอาหารเก่งแล้ว ยังกินอาหารที่คนอื่นทำอร่อยอยู่ไหม
น้องซันจิ: ก็อร่อยครับ แต่ทำเองอร่อยกว่า (ยิ้ม)
คุณแม่ทราบไหมว่าน้องถูกแซวว่าเหมือน Vinsmoke Sanji ตัวละครในเรื่องวันพีชที่ทำอาหารเก่งมาก
คุณแม่: จริงๆ คาแรกเตอร์ก็คล้ายกันอยู่นะ แต่ซันจิบอกว่าที่ไม่เหมือนคือเจ้าชู้ (หัวเราะ)
อยากถามเรื่องการแบ่งเวลา ช่วงที่แข่งขันต้องบริหารเวลาเรียนกับฝึกซ้อมและไปแข่งอย่างไร
คุณแม่: ส่วนใหญ่รายการมักจะถ่ายตรงกับวันที่น้องต้องไปเรียน คุณแม่ก็จะเข้าไปคุยกับคุณครูว่ามีวันไหนบ้างที่น้องต้องขอไปแข่งนะ ซึ่งทางโรงเรียนก็รับทราบและเข้าใจ แล้วทางโรงเรียนและคุณครูก็ให้การสนับสนุนดีมาก
ตอนนี้เหมือนทำความฝันสำเร็จไปแล้วหนึ่งก้าว ในอนาคตอยากทำอะไรเพิ่มอีกบ้าง
น้องซันจิ: อยากเป็นเชฟที่ดีครับ แล้วก็อยากเปิด Chef’s Table เป็นแนวไฟน์ไดนิ่งกับเพื่อนๆ ที่สนิทครับ
สุดท้ายอยากบอกอะไรกับเด็กๆ ที่รักการทำอาหารและอยากลองเข้ามาแข่งขันในรายการดูบ้าง
คุณแม่: ขอเป็นตัวแทนในการบอกกับคุณพ่อคุณแม่ที่อยากพาลูกไปแข่งว่า ถ้ารู้แล้วว่าลูกชอบอะไร ก็ให้ผลักดันอย่างเต็มที่ สนับสนุนลูกเยอะๆ ถ้าลูกได้ทำในสิ่งที่ชอบ เขาก็จะมีความสุข
น้องซันจิ: ถ้าอยากเป็นแชมป์มาสเตอร์เชฟจูเนียร์ซีซันต่อไป ก็ขอให้มีความตั้งใจ แล้วก็มุ่งมั่นเพื่อทำความฝันของตัวเองทำให้ได้ครับ
COMMENTS ARE OFF THIS POST