READING

คุยกับพิธีกรรายการเด็ก: ลุงพัน พลุแตก...

คุยกับพิธีกรรายการเด็ก: ลุงพัน พลุแตก

จะมีพิธีกรรายการโทรทัศน์สักกี่คนที่เคยเป็นคุณครูแนะแนว เป็นวิทยากรนำสันทนาการในค่ายลูกเสือและสวนสนุก มาก่อนที่จะกลายเป็นขวัญใจเด็กเล็กเด็กโตจนถึงผู้ปกครอง ถ้าไม่ใช่ ภานุพันธ์ ครุฑโต หรือ ลุงพัน พลุแตก ของเด็กๆ ที่เราคุ้นหน้าคุ้นตากันดี จากรายการ ปริศนาฟ้าแลบเด็ก และ ไมค์ทองคำเด็ก แห่งค่ายเวิร์คพอยท์

เข้าสู่วงการบันเทิงได้ยังไง

พี่ชอบเด็ก แหม อย่างกับนางงามเลย (ยิ้ม) เคยเป็นครูแนะแนวมาก่อน แต่เบนเข็มมาทำงานเป็นวิทยากรนำสันทนาการกับเด็กที่แดนเนรมิต เพราะเหตุผลทางการเงิน แล้วก็ออกไปเป็นฟรีแลนซ์ เป็นวิทยากรนำค่ายลูกเสือตามศูนย์สันทนาการ เพราะเป็นคนชอบพูด ชอบนำบรรยากาศ จนมีคนชวนมาเป็นคนนำเชียร์ในห้องส่ง และมีครอบครัวเลยคิดทำงานประจำ พอดีกับที่เวิร์คพอยท์รับสมัครพนักงานแผนกนำกิจกรรมภายในองค์กร เรามีวุฒิที่ไม่ตรงสาขาแต่ก็ลองสมัครดู แล้วก็ได้

แล้วงานส่วนไหนดึงเราไปหาเด็กๆ อีกครั้ง

เริ่มต้นจากงานนำปาร์ตี้ในองค์กร มีโอกาสถือไมโครโฟน คนเห็นแววจึงมีโอกาสมาทำงานเบื้องหลัง ช่วยคิดมุก พล็อตเรื่อง เป็นนักแสดงสมทบบ้าง กระทั่งได้มาเป็นพิธีกรงานแรกในรายการเด็ก สู้เพื่อแม่ ให้เด็กอนุบาลถึงประถมต้นมาสู้กับมังกรสี่ตัว ถ้าผ่านด่าน เขาก็สามารถเลือกของให้คุณแม่ได้หนึ่งอย่าง เช่น ทีวี ตู้เย็น เครื่องซักผ้า

ทำงานกับเด็ก ต้องเตรียมตัวหรือทำการบ้านหนักแค่ไหน

ต้องทำนะ ไม่ว่าเราจะเก่งขนาดไหนก็ควรหาความรู้อยู่เสมอ เพราะยุคสมัยมันเปลี่ยนไป บางทีเด็กเล็กๆ เขาอาจรู้มากกว่าเราด้วย เพราะในมือถือมีครบทุกอย่าง เขาแค่พิมพ์ มันก็ขึ้นมาหมด เพราะฉะนั้นเราต้องรู้ทันว่าเขาคิดอะไรกัน ต้องหาข้อมูลเกี่ยวกับเด็กจะได้คุยกันสนุก การ์ตูนเรื่องไหนที่เขาชอบดู วัยรุ่นเขาฟังเพลงอะไรกัน การแต่งตัวของเด็ก ผมจะถามจากหลานๆ หรือลูกชาย “เฮ้ย เขาฮิตอะไรกัน ลองบอกพ่อซิ เผื่อพ่อจะเอาไปใช้” แล้วเราก็ไปค้นเพิ่ม เช่น เด็กผู้หญิงก็ต้องเป็นเอลซ่า ผู้ชายก็ต้องแปลงร่าง แล้วเขาจะคุยกับเรา เปิดใจ เป็นทีมเดียวกัน

ความใสของเขาที่อยากพูดอยากทำนี่แหละ
ที่มันไปแตะใจคน

ความสนุก ความยากง่ายในการทำงานกับเด็ก

ความสนุกนี่มาจากตัวเด็กเลย เพราะสมัยเรียนครู เราต้องไปทำกิจกรรมกับเด็กบ่อยมาก ต้องเรียนจิตวิทยาเด็ก ทำความเข้าใจ  ผมว่ามันได้เปรียบมาก เราได้ใช้สิ่งที่เรียนเต็มๆ เลย แล้วมันก็ง่ายและยากมากเพราะเขาเป็นเด็กเนี่ยแหละ งงไหม คือเราไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง เหมือนตอนถ่ายรายการ ไมค์ทองคำเด็ก ครูสลา (สลา คุณวุฒิ) ท่านเคยพูดว่า “ทุกครั้งที่ผู้ใหญ่มีเวทีสร้างสรรค์ให้กับเด็ก เด็กมักจะตอบแทนด้วยความมหัศจรรย์กลับมาหาเรา”

เล่าตัวอย่างน่ารักๆ ให้ฟังหน่อย

สมมติเราถาม “หนูโตขึ้นอยากเป็นอะไรคะ” เด็กผู้หญิงบอกว่าอยากเป็นนางงาม เราก็เตี๊ยมกับครูสุ (สุนารี ราชสีมา) และครูโน้ต (โน้ต เชิญยิ้ม) ให้ถามว่าเด็กอยากเป็นอะไร เพื่อจะให้เขาลองเดินแบบนางงาม แต่ปรากฏว่าพอเอาจริง เด็กบอกอยากเป็นหมอ ก็ต้องเปลี่ยนกันตอนนั้นเลย แล้วแต่เขา เพราะเด็กบางคนอาจจะจำแล้วแสดงได้ แต่เด็กบางคนเป็นธรรมชาติของเขา ณ เวลานั้นๆ และความเป็นธรรมชาติ ความใสของเขาที่อยากพูดอยากทำนี่แหละที่มันไปแตะใจคน เพราะมันรู้สึกว่าไม่ได้เตี๊ยม ไม่มีการเตรียม ไม่ได้มีการซักซ้อม เราก็จะต้องพลิกแพลง ต้องมีไหวพริบ ต้องคิด มีกิจกรรมรันในหัวตลอดเวลา

ทำงานกับเด็กในสวนสนุกกับในรายการโทรทัศน์ต่างกันไหม

โห ต่างกันมากเลย เพราะสวนสนุกบรรยากาศสบายๆ โอเพ่น ไม่มีกฎเกณฑ์ ไม่มีกรอบ เราให้เขาเล่น เต้น มีเกมบ้าง แค่ทำยังไงก็ได้ให้เด็กสนุก มีความสุข ผู้ปกครองมีรอยยิ้ม ประทับใจ นั่นคือตอบโจทย์ แต่พอเป็นรูปแบบรายการ มันจะมีคอนเซ็ปต์ จุดประสงค์ และแพตเทิร์นว่ารายการต้องการสื่ออะไร เช่น รายการ ปริศนาสายฟ้าแลบเด็ก หลักๆ ก็คือเน้นไปที่ตัวเด็ก แต่จะยังมีโครงของคำถามอยู่ ในสวนสนุกจึงธรรมชาติกว่า สบายกว่า แต่จุดหมายเดียวกันคือความสนุกสนาน

วิธีดำเนินรายการให้สงบแต่คงความสนุก

จริงๆ ผมต้องขอบคุณครูอีกคนก็คือคุณปัญญา (ปัญญา นิรันดร์กุล) ท่านก็ดูรายการ แล้วแนะนำวิธีทำรายการกับเด็กว่าให้ดูที่จุดประสงค์หลัก ทำยังไงให้เด็กได้พูดในสิ่งที่เขาอยากพูด ตัวคำถามในรายการเป็นแค่เส้นถนนที่ขีดไว้ แต่ระหว่างทางที่เด็กจะเดินไปเนี่ย เขาอาจจะเก็บดอกไม้ แวะชิ้งฉ่อง ขอพักเหนื่อย ไม่ได้เร่งว่าเด็กจะต้องไปถึงจุดหมาย แต่ระหว่างทางที่เด็กกำลังเดินไปถึงจุดหมาย เขามีอะไรให้เราได้คุย ได้เปิด ได้บอก ได้สื่อสารกลับมา เราต้องให้เขามีโอกาสได้แสดงความเป็นธรรมชาติ ได้แสดงความน่ารักออกมา เป็นความสุขที่ไม่เพียงตัวเด็กจะได้รับ ผู้ชมก็เช่นกัน ทุกคนทุกฝ่ายจึงรู้สึกสนุกร่วมกันได้

เด็กที่ได้อยู่บนเวทีต่างกับเด็กทั่วไปไหม

ต่าง แต่ต่างที่ ‘โอกาส’ นะ บางทีเด็กที่ได้มาแสดงความสามารถในรายการเขาผ่านกระบวนการมาจากเวทีการแสดง หรือมีความสามารถอยู่แล้ว เขากล้าแสดงออก กล้าคิด กล้าทำ มีความสามารถพิเศษ ผมว่ามันอยู่ที่โอกาส ซึ่งผู้ใหญ่พร้อมจะให้ แล้วก็อยู่ที่ความจำเป็น ความจำกัดของแต่ละครอบครัวก็แตกต่างกัน ในรายการ ไมค์ทองคำเด็ก เราเลยเปิดโอกาสให้เด็กเยอะมาก เด็กบางคนมีความสามารถ แต่อยู่ในครอบครัวซึ่งค่อนข้างจำกัด คือ ไม่มีไฟฟ้าใช้ ต้องใช้แผงโซลาร์เซลล์ วันไหนอยากดูรายการก็ต้องรอให้แดดเยอะๆ ถ้าแดดน้อย ชาร์จมาอาจจะดูได้แค่สองเบรก เพราะพลังงานที่ชาร์จมาหมดแล้ว โอกาสจึงเป็นเรื่องสำคัญมาก

สอนเขาได้ บอกในสิ่งที่ดี เด็กเขาจะเรียนรู้
แค่เขาไม่รู้ว่าอะไรเหมาะไม่เหมาะ
ผู้ใหญ่น่ะสำคัญ ต้องบอกเขา

ผู้ใหญ่บางคนมักมองว่า เด็กที่มาออกรายการโทรทัศน์ส่วนมากจะดูโตเกินวัย

ต้องมองว่าเขาเป็นเด็ก เราไม่มองแค่สิ่งที่เขาพูด มันเหมือนคนตาบอดคลำช้าง ถ้าเราไปคลำตรงหางเราอาจจะคิดว่ามันเป็นฮิปโป มันอยู่ที่มุมมองมากกว่า อยู่ที่คนสัมผัส แต่ทุกๆ ครั้งที่มองเด็ก เราน่าจะเปิดใจมองเขาก่อน อย่าเพิ่งไปตีค่าว่าเด็กคนนี้พูดจาไม่ดี เราก็ยังไม่รู้ว่าจริงๆ สิ่งที่เขาพูดอาจจะเป็นสิ่งที่สังคมเขาคุ้นชิน เราก็แค่ต้องบอกเขา เตือนเขา “เอ้ย ในกลุ่มคนใหม่ๆ เด็กผู้ชายต้องพูด ‘ครับ’ เด็กผู้หญิงก็ต้องมี ‘ค่ะ’ นะลูก” สอนเขาได้ บอกในสิ่งที่ดี เด็กเขาจะเรียนรู้ แค่เขาไม่รู้ว่าอะไรเหมาะไม่เหมาะ ผู้ใหญ่น่ะสำคัญ ต้องบอกเขา

นอกจากความบันเทิง ความสุข รอยยิ้ม รายการโทรทัศน์สำหรับเด็กยังให้อะไรอีก

เป็นพื้นที่ให้เด็กได้แสดงออกนอกจากภายในครอบครัว มันจะเป็นต้นแบบให้เด็กหลายคนที่เขาไม่กล้า กลัว หรือไม่รู้จะทำยังไง จะเลือกอะไรดีเนี่ย เขาจะเห็นว่า “อ๋อ ถ้าเราฝึกฝนมากๆ เราสามารถทำได้นะ” เขาจะเห็นว่าการกล้าแสดงออกไม่ใช่สิ่งที่ผิด เราสามารถทำได้ แล้วก็เป็นเวลามีความสุขร่วมกัน ได้ดูได้พูดคุยกัน เหมือนผมคุยกับลูก เขาก็จะฝึกตอบคำถาม เราก็จะรู้จักลูกว่าเขาคิดยังไง ซึ่งคำถามอาจจะดูเหมือนไม่มีประโยชน์ เป็นคำถามตลกๆ แต่อย่าลืมว่าอย่างน้อย เราได้ฝึกการคิดของเด็ก

ฝากอะไรถึงคุณพ่อคุณแม่ของเด็กๆ

ใช้สื่อที่มีให้เป็นประโยชน์มากกว่าโทษ ทั้งรายการทีวี หรือสมาร์ตโฟน ใช้มันช่วยให้ผู้ใหญ่ได้ฟังเสียงเด็กๆ บ้าง เด็กเขาอาจจะมีมุมมอง ความคิดอะไรที่แตกต่างกันไป บางครั้งพ่อกับแม่ก็พยายามจะเป็นฝ่ายพูด แต่ถ้าเราลองฟังเขามากขึ้น เปิดโอกาส เปิดพื้นที่ให้เขาสื่อสารกลับมา อาจจะถามเขาว่าแล้วสิ่งที่ลูกอยากทำในแต่ละวันคืออะไร เขาคิดอะไร ผมว่าสำคัญมากกว่า เพราะมันจะทำให้เรารู้จักเขาขึ้นอีกเยอะ


RELATED POST