READING

อยากเลี้ยงหมาแมว แต่กลัวว่าลูกจะเป็นภูมิแพ้: คุยกั...

อยากเลี้ยงหมาแมว แต่กลัวว่าลูกจะเป็นภูมิแพ้: คุยกับหมอวิน—ผศ.นพ. วรวุฒิ เชยประเสริฐ กุมารแพทย์เฉพาะทางด้านโลหิตวิทยาและมะเร็งในเด็ก (เจ้าของเพจ เลี้ยงลูกตามใจหมอ)

ลูกแพ้ขนสัตว์

หนึ่งในคำถามและเรื่องถกเถียงที่มักจะได้เห็นในกลุ่มสังคมออนไลน์ของคุณพ่อคุณแม่บ่อยๆ ก็คือ สามารถเลี้ยงหมาแมวพร้อมกับเด็กเล็กได้หรือไม่ และไม่แน่ใจว่าจะยอมให้ลูกมีสัตว์เลี้ยง โดยเฉพาะสัตว์มีขนอย่างหมาหรือแมว เป็นของตัวเองดีไหม

 

เพราะนอกจากเรื่องภาระหน้าที่และความรับผิดชอบแล้ว พ่อแม่หลายคนก็เคยได้ยินว่าการเลี้ยงสัตว์จะทำให้ ลูกแพ้ขนสัตว์ และเสี่ยงเป็นโรคภูมิแพ้-หอบหืดมากขึ้น รวมถึงมีกรณีศึกษาจากครอบครัวที่มีประสบการณ์เคยเลี้ยงหมาแมวมาก่อน แล้วพบว่าลูกมีอาการแพ้ขนสัตว์ จนต้องตัดสินใจเลิกเลี้ยง เอาหมาแมวไปประกาศหาบ้าน แล้วแยกย้ายกันไปในที่สุด

มีคำถามเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของการเลี้ยงสัตว์กับโรคภูมิแพ้ของลูก หรือที่หลายคนเรียกว่า ลูกแพ้ขนสัตว์ เราเองก็ต้องการคำตอบและคำอธิบาย จนต้องรบกวนขอคำอธิบายจาก หมอวิน—ผศ.นพ. วรวุฒิ เชยประเสริฐ กุมารแพทย์และคุณพ่อมาช่วยตอบข้อสงสัยเกี่ยวกับการเลี้ยงลูกเล็กไปพร้อมกับสัตว์เลี้ยงให้คุณพ่อคุณแม่ลองนำไปใช้ประกอบการตัดสินใจกันดูนะคะ

“ในปัจจุบันเราค่อนข้างเชื่อเรื่องการใช้ชีวิตที่สะอาดแบบพอดี หมายถึงการมีโอกาสได้เจอกับสิ่งที่ก่อให้เกิดภูมิแพ้ ในปริมาณที่เหมาะสม ในช่วงเวลาที่เหมาะสม จะช่วยให้ภูมิคุ้มกันของเราเรียนรู้ และเราก็จะอยู่กับมันได้”

การเลี้ยงเด็กเล็กกับหมาแมว ทำให้ ลูกแพ้ขนสัตว์ หรือเป็นภูมิแพ้และหอบหืดได้จริงหรือไม่

ไม่จริงครับ คือต้องใช้คำว่าคนที่จะแพ้ขนสัตว์ ไม่ว่าจะแพ้ขนน้องหมาหรือน้องแมว มันอยู่ที่ตนคนคนนั้น ถ้าเขาแพ้ก็คือแพ้ และถ้าไม่แพ้ก็คือไม่แพ้ครับ

ต้องบอกว่าจริงๆ แล้วการเลี้ยงสัตว์หรือมีสัตว์เลี้ยงในบ้าน มีการศึกษาหลายชิ้นมากๆ ที่พบว่าช่วยลดโอกาสการเกิดโรคภูมิแพ้ได้ด้วยซ้ำ เพราะว่าในปัจจุบันเราค่อนข้างเชื่อเรื่องการใช้ชีวิตที่สะอาดแบบพอดี หมายถึงการมีโอกาสได้เจอกับสิ่งที่ก่อให้เกิดภูมิแพ้ ในปริมาณที่เหมาะสม ในช่วงเวลาที่เหมาะสม จะช่วยให้ภูมิคุ้มกันของเราเรียนรู้ และเราก็จะอยู่กับมันได้

ดังนั้น อธิบายในภาพรวมก็คือ บางบ้านที่เลี้ยงลูกด้วยความสะอาดมากเกินไป เราจะพบว่าเด็กมีโอกาสป่วยได้ง่ายกว่าเด็กที่เลี้ยงแบบปกติด้วยซ้ำ เพราะฉะนั้น การเลี้ยงด้วยความสะอาดแบบพอดีหรือปกติ จึงเป็นเรื่องที่ดีด้วยซ้ำ ในกรณีของโรคภูมิแพ้ เราก็พบว่าบ้านที่มีสัตว์เลี้ยงในบ้าน ยังลดโอกาสที่จะเกิดโรคภูมิแพ้ได้

หมายความว่าเด็กที่จะเป็นหรือไม่เป็นโรคภูมิแพ้ หอบหืด ไม่ได้เกิดเพราะสัตว์เลี้ยง แต่ขึ้นอยู่กับตัวเด็กเองมากกว่า

ต้องบอกว่าโรคภูมิแพ้มันเกิดได้จากหลายปัจจัย แต่หนึ่งในปัจจัยที่ทำให้เด็กเป็นโรคภูมิแพ้ได้ก็คือกรรมพันธุ์หรือพันธุกรรม เช่น บางครอบครัวที่มีคุณพ่อคุณแม่เป็นโรคภูมิแพ้ โดยเฉพาะในกลุ่มการแพ้อาหาร หรือคุณพ่อคุณแม่เป็นโรคหอบหืด ก็เพิ่มโอกาสการเป็นโรคภูมิแพ้ของเด็กได้อยู่แล้ว เพียงแต่ไม่จำเป็นว่าลูกจะต้องแพ้สิ่งเดียวกับคุณพ่อคุณแม่ และก็ไม่ได้มีข้อห้ามว่าเด็กที่มีพ่อแม่เป็นภูมิแพ้ จะต้องใช้ชีวิตผิดไปจากปกติ หรือถ้ามีคุณพ่อคุณแม่เป็นโรคภูมิแพ้หอบหืดแล้วห้ามเลี้ยงสัตว์ในบ้าน แบบนี้ไม่มีนะครับ เราสามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ แล้วติดตามดูว่าถ้าลูกมีอาการแพ้เกิดขึ้นก็ดูแลรักษากัน หรืออาจจะหยุดเลี้ยงสัตว์ เมื่อมีการวินิจฉัยชัดเจนแล้วว่ามีการแพ้จริงๆ นั่นเอง

“คนที่แพ้ขนน้องหมาน้องแมว เราไม่ได้แพ้ที่เส้นขนของเขา แต่เราแพ้โปรตีนที่อยู่ในสารคัดหลั่ง เช่น น้ำมูก น้ำลาย เศษผิวหนัง หรืออาจจะเป็นโปรตีนที่ออกมากับอุจจาระของสัตว์ และโปรตีนเหล่านี้จะอยู่ที่ไหนได้อีก ถ้าเป็นสัตว์ที่มีขนมันก็สะสมอยู่ตามขน และลอยฟุ้งในอากาศได้”

เคยได้ยินว่า ที่เราเข้าใจหรือเรียกว่า ‘แพ้ขนสัตว์’ ความจริงแล้วเป็นการแพ้อย่างอื่นที่อยู่ในขนสัตว์ คำพูดนี้เป็นเรื่องจริงหรือไม่

คนที่แพ้ขนน้องหมาน้องแมว เราไม่ได้แพ้ที่เส้นขนของเขา แต่เราแพ้โปรตีนที่อยู่ในสารคัดหลั่ง เช่น น้ำมูก น้ำลาย เศษผิวหนัง หรืออาจจะเป็นโปรตีนที่ออกมากับอุจจาระของสัตว์ และโปรตีนเหล่านี้จะอยู่ที่ไหนได้อีก ถ้าเป็นสัตว์ที่มีขนมันก็สะสมอยู่ตามขน และลอยฟุ้งในอากาศได้ ดังนั้นเราก็จะพบว่าเด็กหลายคน แค่อยู่ในบริเวณที่มีสัตว์เลี้ยงก็แพ้ได้ ถ้าใช้คำพูดที่เข้าใจง่ายหน่อยก็คือแพ้ขนสัตว์นั่นแหละ แต่ต้องเข้าใจว่าความจริงไม่ได้แพ้ขนสัตว์โดยตรง เราแพ้โปรตีนที่ออกมากับน้ำมูกน้ำลายของสัตว์ และติดอยู่กับขนสัตว์ ดังนั้นถ้าถามว่าตรงไหนที่เราจะเจอการสะสมของสารก่อภูมิแพ้มากที่สุดก็คือขนบริเวณหัวและคอของสัตว์เลี้ยงนั่นเอง

การที่บางคนแพ้ขนสัตว์เลี้ยงแค่บางประเภท เช่น แพ้ขนแมว แต่ไม่แพ้ขนสุนัข เป็นเพราะอะไร

เพราะว่าหมากับแมวมีโปรตีนที่ทำให้เกิดการแพ้แตกต่างกัน หมามีโปรตีนชนิดหนึ่ง ส่วนแมวก็เป็นโปรตีนอีกชนิดหนึ่ง แต่โดยภาพรวม เราพบว่าเด็กๆ ทั่วโลก แพ้ขนแมวมากกว่าแพ้ขนสุนัข แต่ในประเทศไทย จำนวนของเด็กที่แพ้สองอย่างนี้ไม่ได้ต่างกันมากนัก ยังคงเป็นไปตามข้อมูลทั่วโลกคือมีคนที่แพ้ขนแมวมากกว่าสุนัข

บางคนบอกว่า ลูกจะแพ้หรือไม่แพ้ ขึ้นอยู่กับการรักษาความสะอาดล้วนๆ เป็นแนวคิดที่ถูกต้องไหม

ความสะอาดก็มีผล เพราะว่าการทำความสะอาดทั้งสัตว์เลี้ยงและบริเวณบ้านที่เลี้ยงสัตว์เป็นประจำ มันช่วยป้องกันการสะสมของสารคัดหลั่งที่อยู่ตามที่ต่างๆ ไปด้วย บ้านที่มีเด็กและเลี้ยงสัตว์ เราก็มักจะแนะนำว่าช่วยอาบน้ำให้สัตว์เลี้ยงอย่างน้อยสัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง แล้วก็ช่วยดูเรื่องของความสะอาดในภาพรวมเช่น ทำความสะอาดพื้นที่ของหมาแมวสม่ำเสมอ เพราะว่ามันเป็นที่สะสมโปรตีนที่ฟุ้งกระจาย และก็จะก่อให้เกิดจากอาการแพ้ได้

สมมติว่าลูกแพ้ขนสัตว์เลี้ยงในบ้านแน่ๆ พ่อแม่แก้ด้วยการรักษาความสะอาดมากขึ้น จะช่วยได้ไหม

ช่วยได้ครับ แต่ก็ต้องดูว่าการแพ้ของลูกเราอยู่ในดีกรีไหน บางบ้านที่เลี้ยงน้องหมาน้องแมวมาก่อนมีลูก แล้วปรากฏว่าลูกแพ้น้องหมาน้องแมว คุณพ่อคุณแม่ก็ต้องมาคิดแล้วว่าจะทำยังไงให้อยู่ด้วยกันได้ แต่ในกรณีที่ลูกเกิดอาการแพ้รุนแรง ก็อาจจำเป็นต้องแยกกัน หรือต้องมีการหยุดเลี้ยง ซึ่งนั่นควรจะเป็นทางเลือกสุดท้ายที่จำเป็นต้องทำ เพื่อไม่ให้มีสิ่งที่กระตุ้นการแพ้ เพราะเด็กบางคนก็แพ้ชนิดรุนแรง เช่น หอบหืดขึ้น ความดันโลหิตตก หรือช็อกไป ซึ่งเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ อย่างนี้ก็จำเป็นต้องหยุดเลี้ยง

แต่ในกรณีที่เป็นการแพ้ชนิดไม่รุนแรง เช่น พวกภูมิแพ้จมูก คันจมูก คันตาเราลองมาอยู่ร่วมกันดูได้ แล้วใช้วิธีดูแลความสะอาดดีๆ ลดการสะสมของสิ่งก่อภูมิแพ้ตามบริเวณต่างๆ เช่น ทำความสะอาดตัวน้องหมาน้องแมว พรม หรือสิ่งของทุกอย่างในบ้าน ร่วมกับการใช้ยาในการรักษา ซึ่งการรักษาก็ขึ้นกับว่าอาการเป็นยังไง ต้องใช้ยาแบบไหน เช่น ภูมิแพ้จมูก ก็มีตั้งแต่ยากิน สเต็ปต่อไปก็เป็นยาพ่นจมูกในกลุ่มสเตียรอยด์ ซึ่งมีหลายชนิด และมีความแรงของยาแตกต่างกัน หากบาลานซ์เรื่องการรักษาความสะอาดและใช้ยารักษาควบคุมอาการ เราก็อยู่ด้วยกันได้ เป็นครอบครัวที่มีลูกและเลี้ยงหมาแมวได้

หรือถ้าจะต้องแยกสัตว์เลี้ยง ก็มีระดับของการแยก เช่น บางบ้านต้องแยกแบบเอาสัตว์เลี้ยงออกไปจากบ้านเลย บางบ้านสามารถแยกพื้นที่ให้สัตว์เลี้ยงอยู่ในพื้นที่ของตัวเองได้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับอาการแล้วก็การคุมโรคนั่นเอง

อาการหรือสัญญาณที่บ่งบอกว่าลูกมีการแพ้ชนิดรุนแรง ถึงขั้นที่ไม่สามารถเลี้ยงสัตว์ไว้ในบ้านอีกต่อไป มีอะไรบ้าง

มีผื่นแพ้ลมพิษขึ้น ร่วมกับอาการแพ้ในระบบอื่นของร่างกายอย่างน้อยหนึ่งอาการ เช่น มีผื่นแพ้ลมพิษร่วมกับอาการในระบบทางเดินหายใจ อาจจะมีหอบหืดขึ้น หรือมีอาการทางระบบหลอดเลือด เช่น ช็อกหรือความดันโลหิตต่ำ หรืออาจจะมีอาการทางเดินอาหาร เช่น ถ่ายเหลวรุนแรง เราถือว่าเป็นการแพ้ชนิดรุนแรงที่เรียกว่า Anaphylaxis ซึ่งการแพทย์ก็ถือว่ารุนแรงมาก เราก็มักจะแนะนำว่าต้องหลีกเลี่ยงสิ่งที่กระตุ้นแพ้ ถ้ามันชัดเจนว่าเกิดจากหมาแมวจริงๆ ก็คงจะต้องแยกหรือต้องย้ายน้องหมาน้องแมวออกจากบ้าน เพราะว่าอาจจะทำให้ลูกเป็นอันตรายถึงชีวิตได้

การแพ้ที่รุนแรงน้อยลงมา ก็คือหอบหืดหรือภูมิแพ้ที่เยื่อบุต่างๆ เช่น เยื่อบุจมูก เป็นภูมิแพ้จมูก เยื่อบุตา ทำให้เป็นตาอักเสบ หรือเป็นภูมิแพ้ที่ผิวหนัง เช่น สัมผัสสิ่งที่แพ้แล้วทำให้เกิดผื่นที่ผิวหนังหรือผื่นแพ้อักเสบได้ เพราะการแพ้มีหลายดีกรี หลายความรุนแรง อย่างที่บอกว่าถ้ารุนแรงมากก็ต้องแยก แต่ถ้ารุนแรงน้อย ก็พยายามบาลานซ์และลดอาการแพ้ด้วยการใช้ยาควบคุมได้ครับ

“ต้องบอกคุณพ่อคุณแม่เหมือนเดิมว่า ไม่ใช่ทุกบ้านที่เลี้ยงสัตว์ แล้วเด็กจะแพ้ หรือถ้าแพ้ อาการแพ้ของแต่ละคนก็แตกต่างกันไป เพราะฉะนั้น อย่าเพิ่งเหมารวม หรือคิดว่าหมาแมวเป็นสาเหตุของโรคร้าย เลี้ยงไม่ได้ มันไม่ถึงขนาดนั้น ลองตั้งสติแล้วสังเกตอาการดูก่อน”

อาการแพ้ของเด็กจะมีโอกาสรักษาหายขาดหรือหายเองเมื่อโตขึ้นหรือไม่

อันดับแรก คำว่าหาย ในระดับเบสิกก็คือการที่เราสามารถคุมอาการแพ้ได้ซึ่งสามารถทำได้ แล้วก็มียาหลายตัวที่สามารถใช้คุมอาการได้ ไม่ว่าจะเป็นยากินแล้วก็ยารักษาตามระบบที่เขาแพ้ เช่น เป็นภูมิแพ้จมูก ก็ใช้ยาพ่นเยื่อบุจมูกโดยตรง เพื่อคุมอาการแพ้ อย่างนี้เราก็เรียกว่าคุมอาการของโรคได้

อย่างที่สองก็คือ การทำวัคซีนภูมิแพ้ ซึ่งคือการดูว่าเกิดการแพ้เพราะโปรตีนที่เกิดจากหมาหรือแมวชนิดไหน แล้วก็เอาโปรตีนชนิดนั้นมาให้คุณหมอโรคภูมิแพ้ทำการวิเคราะห์รักษา ด้วยการให้โปรตีนชนิดนั้นในปริมาณที่เหมาะสมอย่างต่อเนื่อง เป็นระยะเวลาที่เหมาะสม เพื่อให้ภูมิคุ้มกันของเด็กเรียนรู้ที่จะตอบสนองต่อโปรตีนนั้นน้อยลง ทางการแพทย์เรียกวิธีนี้ว่า Immunotherapy หรือการรักษาด้วยระบบภูมิคุ้มกัน แต่ถ้าโดยทั่วไปอาจจะเรียกว่าการทำวัคซีนภูมิแพ้ ส่วนเปอร์เซ็นต์การหายขาดก็ควรจะปรึกษาคุณหมอโรคภูมิแพ้ เพื่อพิจารณาว่ากรณีของเรามีข้อบ่งชี้ที่จะสามารถทำได้ไหม เพราะไม่ใช่ทุกเคสที่จะทำได้ และมันก็เป็นการรักษาที่มีราคาค่อนข้างสูง

ส่วนใหญ่หมอก็จะบอกว่าให้ไปจัดการสิ่งแวดล้อมก่อน สมมติสงสัยว่าลูกแพ้หรือมีอาการหอบหืดกําเริบบ่อย ภูมิแพ้กำเริบบ่อย เวลาที่มีการสัมผัสกับหมาแมวจริงๆ สำหรับบ้านที่เลี้ยงอยู่ตลอดเวลาอาจจะบอกยาก แต่ถ้าบ้านไหนที่ลูกจะมีอาการแพ้ทุกทีที่ไปเข้าใกล้สัตว์มาจากนอกบ้าน แบบนี้น่าสงสัย ก็ควรมาตรวจ

หมอเด็กก็จะมีขั้นตอนในการตรวจเป็นสเต็ป ไม่ว่าจะเป็นการเจาะเลือด หรือการเช็กผิวหนังเพื่อดูว่าเด็กแพ้สารแปลกปลอมตัวไหน พอได้ผลออกมาชัดเจน ก็ต้องมาวางแผนกันว่าจะทำอย่างไร ด้วยการดูอาการของโรคว่ารุนแรงไหม ถ้ารุนแรงมาก อาจจะต้องคุยกันว่าไม่แนะนำให้เลี้ยงสัตว์นะ แต่ถ้ารุนแรงปานกลางและสามารถควบคุมอาการได้ด้วยยา ก็ต้องบอกว่าพ่อแม่จะต้องดูแลน้องหมาน้องแมวร่วมกับดูแลลูกไปพร้อมกัน

น้องหมาน้องแมวก็ต้องดูแลเรื่องสุขลักษณะ คืออาบน้ำสัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง ทำความสะอาดบ้านให้บ่อยเพื่อป้องกันการสะสมของสิ่งตกค้างต่างๆ แล้วถ้าทำได้ก็หลีกเลี่ยงการใช้พรม ผ้าม่าน หรือตุ๊กตามีขน เพราะโปรตีนต่างๆ จะฟุ้งกระจายแล้วไปติดสะสมอยู่ตามสิ่งเหล่านี้ได้ แล้วก็เริ่มพิจารณาการจำกัดพื้นที่ เช่นลูกเริ่มมีอาการเยอะ เพราะถูกกระตุ้นบ่อย ก็คงต้องจำกัดพื้นที่มากขึ้น อาจจะเริ่มจากไม่ให้หมาแมวมาขึ้นเตียง จัดสรรพื้นที่เฉพาะ อาจจะอยู่กันคนละห้อง หรือคนละชั้น หรือมีการกำหนดบริเวณชัดเจนเพื่อที่จะทำให้เราสามารถอยู่ด้วยกันได้

ในส่วนของลูก พ่อแม่ก็ต้องดูแลสุขภาพลูกในภาพรวมด้วย เพราะโรคภูมิแพ้ ถ้าร่างกายอ่อนแอภูมิคุ้มกันก็จะผิดไปจากเดิม ก็ถูกกระตุ้นให้แพ้ได้ง่ายขึ้น ดังนั้นลูกก็ต้องออกกำลังกาย กินอาหารที่มีประโยชน์ นอนหลับให้เพียงพอ และต้องมีการติดตามเพื่อดูแลการรักษาอย่างต่อเนื่อง ถ้าจะมีความจำเป็นต้องกินยาแก้แพ้เพื่อคุมอาการ ก็ต้องกิน หรือถ้าต้องใช้ยาพ่นทางจมูก พ่นทางปาก หรือยาหยอดตาเพื่อการป้องกันและบรรเทาอาการ ก็ต้องทำควบคู่กันไปด้วย

แต่ต้องบอกคุณพ่อคุณแม่เหมือนเดิมว่า ไม่ใช่ทุกบ้านที่เลี้ยงสัตว์ แล้วเด็กจะแพ้ หรือถ้าแพ้ อาการแพ้ของแต่ละคนก็แตกต่างกันไป เพราะฉะนั้น อย่าเพิ่งเหมารวม หรือคิดว่าหมาแมวเป็นสาเหตุของโรคร้าย เลี้ยงไม่ได้ มันไม่ถึงขนาดนั้น ลองตั้งสติแล้วสังเกตอาการดูก่อน และอย่าเพิ่งคิดว่า ถ้าลูกคนหนึ่งแพ้แล้วลูกอีกคนจะต้องแพ้เหมือนกัน

สำหรับบ้านที่เลี้ยงสัตว์ หมอคิดว่าน่าจะให้ความสำคัญเรื่องความปลอดภัยอื่นๆ ด้วย ไม่ว่าจะเป็นวัคซีนพิษสุนัขบ้าก็ต้องฉีดอย่างสม่ำเสมอ พวกเห็บหมัดก็ต้องจัดการและดูแลความสะอาดให้ดี จึงจะอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขได้ ยกเว้นกรณีที่แพ้รุนแรงมากจริงๆ ที่จำเป็นต้องหยุดเลี้ยง

นอกจากขนสัตว์แล้ว พ่อแม่หลายคนเป็นห่วงเวลาสัตว์เลี้ยงมาเลียหน้าเลียมือลูก, น้ำลายของสัตว์ ทำให้แพ้หรือมีอันตรายอย่างไร

จริงๆ การเลียธรรมดาที่ผิวหนัง ถ้าลูกไม่ได้แพ้น้ำลายสัตว์ หรือไม่ได้โดนน้ำลายแล้วมีผื่นขึ้น ก็ไม่จัดว่าอันตรายมาก เพราะความจริง ไม่ว่าจะน้ำลายของคนหรือสัตว์ก็ไม่สะอาดด้วยกันทั้งนั้น จึงไม่ควรปล่อยให้มาสัมผัสตามเยื่อบุต่างๆ เช่น เยื่อบุตา เยื่อบุปาก อยู่แล้ว จึงต้องหลีกเลี่ยงไม่ให้สัตว์เลี้ยงเลียปากหรือเลียเข้าตาเลยจะดีที่สุด แต่ถ้าเล่นกัน แล้วมีการเลียที่มือหรือตามผิวหนังปกติ พอเล่นเสร็จแล้วก็รีบไปล้างมือตามปกติ ก็ไม่มีปัญหาอะไร

ถ้าเป็นพ่อแม่ยังไม่เคยเลี้ยงสัตว์มาก่อน และยังไม่รู้ว่าลูกเราจะแพ้หรือไม่แพ้สัตว์ชนิดไหน พอจะมีวิธีตรวจหรือทดสอบการแพ้ก่อนหรือไม่

ตรวจไม่ได้เลยครับ ปกติถ้าไม่มีอาการแล้วบอกว่าอยากมาตรวจภูมิแพ้แฝง เราไม่แนะนำอยู่แล้ว เพราะการตรวจพวกนี้เขาเรียกว่า screening หรือการคัดกรอง ซึ่งต้องเริ่มจากการมีอาการก่อน

รวมถึงการแพ้สิ่งอื่น เช่น แพ้อาหาร แพ้เกสรดอกไม้ด้วยใช่หรือเปล่า

ใช่ครับ ไม่ว่าจะเป็นแพ้อาหารหรืออะไรก็ตาม เราต้องมีอาการ สงสัย จึงไปตรวจ เพราะหลายครั้งที่คนมาตรวจไม่ได้มีอาการเลย แต่อยากคัดกรอง ผลออกมา มันอาจจะขึ้นว่าแพ้ ซึ่งเป็นไปได้ตามธรรมชาติ แต่ถ้าชีวิตจริงไม่ได้มีอาการ ก็ไม่ต้องไปทำอะไรต่อ

และคนไทยเราไม่ได้แพ้หมาแมวกันเยอะนะครับ ผมลองเซิร์ชมา คลีนิกภูมิแพ้ที่โรงพยาบาลรามาฯ ก็มีรายงานออกมาว่าในกลุ่มคนที่มีอาการภูมิแพ้จริงๆ เป็นคนที่แพ้แมวประมาณ 12 เปอร์เซ็นต์ แพ้หมา 10 เปอร์เซ็นต์ ส่วนใหญ่ของคนไทยคือการแพ้ไรฝุ่น แพ้เชื้อราในอากาศมากกว่าเยอะครับ

แต่ช่วงหลัง คิดว่าเห็นการประกาศหาบ้านให้หมาแมว เพราะเหตุผลว่าที่บ้านมีเด็กเล็ก ทั้งกลัวว่าลูกจะแพ้ หรือลูกแพ้แล้วเลยเลี้ยงต่อไม่ได้ค่อนข้างบ่อย คุณหมอแนะนำอย่างไรดี

เป็นความกลัวและกังวลของคุณพ่อคุณแม่มากกว่า พอรู้ว่าลูกแพ้ปุ๊บหมาแมวปุ๊บ ก็คิดว่าต้องให้แยกกันเลย ซึ่งมันก็ตรงไปตรงมา แต่ความจริง ถ้าสังเกตอาการแล้วลองหาตรงกลาง ดูแลความสะอาดและใช้ยารักษาอาการควบคู่ไป ก็อาจจะอยู่ด้วยกันได้ อย่างที่บ้านหมอก็เลี้ยงหมา ลูกก็ไม่ได้แพ้

ส่วนบ้านที่คิดว่าต้องเลิกเลี้ยงหมาแมวทันที มันก็เป็นทางเลือกนะ แต่เราควรหาทางที่จะอยู่ร่วมกันก่อน บางบ้านแค่ทำความสะอาดมากขึ้น บ่อยขึ้น พอการสะสมของสิ่งก่อให้เกิดภูมิแพ้ลดลง ลูกอาจจะไม่มีอาการแพ้แล้วก็ได้

สัมภาษณ์วันที่ 11 สิงหาคม 2565

 

—อ่านบทความ: ให้ลูกเลี้ยงสัตว์: 4 ข้อดี ของการเลี้ยงลูกให้เติบโตไปพร้อมกับสัตว์เลี้ยง

Sisata D.

Editor in Chief, ชอบเล่นกับลูกคนอื่นและอัพรูปหลานลงอินสตาแกรม

RELATED POST

COMMENTS ARE OFF THIS POST