ในช่วงนี้ที่เด็กๆ เริ่มกลับไปเรียนที่โรงเรียนได้ตามปกติและเป็นช่วงฤดูที่เข้าสู่หน้าฝน คุณพ่อคุณแม่อาจจะสังเกตได้ว่าลูกเริ่มมีอาการป่วยได้ง่าย ซึ่งส่วนมากจะเป็นอาการไข้หวัด แต่อาการป่วยที่ลูกกำลังเป็นอาจจะไม่ใช่อาการไข้หวัดธรรมดา
คุณพ่อคุณแม่มักจะเข้าใจผิดกันว่าการที่ลูกมีน้ำมูกสีเขียว ซึ่งโดยทั่วไปเด็กจะมีน้ำมูกใสในวันแรก ต่อมาน้ำมูกอาจจะเปลี่ยนเป็นสีเขียวได้ เกิดจากการที่เม็ดเลือดขาวในร่างกายหลั่งสารออกมากำจัดเชื้อโรค ดังนั้นการที่มีน้ำมูกเหลืองหรือเขียวไม่ได้แปลว่ามีการติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อนเสมอไป
การดูแลรักษาไข้หวัด สามารถรักษาตามอาการ เช่น ทานยาลดไข้ เช็ดตัวลดไข้ ซึ่งโดยทั่วไปแล้วไข้หวัดจะหายเองได้โดยไม่จำเป็นต้องทานยาปฏิชีวนะ
แล้วเมื่อไหร่จึงจำเป็นต้องพาลูกน้อยไปพบแพทย์ สังเกตได้ดังนี้
1. เด็กที่มีภาวะขาดน้ำ สังเกตได้จากอาการปากแห้ง ปัสสาวะออกน้อย ทานไม่ได้ ซึมลง ไข้สูงมาก โดยเฉพาะเด็กที่เคยมีภาวะไข้ชัก
2. เป็นหวัดนาน 7-14 วัน แล้วอาการยังไม่ดีขึ้น จึงมีความจำเป็นต้องซักประวัติและตรวจร่างกายเพิ่มเติม เพื่อแยกโรคให้แน่ชัด และให้การรักษาที่เหมาะสม เช่น
– ไซนัสอักเสบ มีอาการเป็นหวัดเรื้อรังร่วมกับมีไข้สูง ปวดศีรษะ ปวดกระบอกตา
– โรคภูมิแพ้จมูก จะมีอาการคันจมูก คันตา น้ำมูกไหลเป็นๆ หายๆ หรือมีอาการมากขึ้นช่วงที่สัมผัสสิ่งกระตุ้น
– หูชั้นกลางอักเสบ เด็กจะมีอาการปวดหูร่วมด้วย ตรวจเยื่อบุแก้วหูพบความผิดปกติ
3. เด็กมีภาวะหายใจลำบาก หายใจมีเสียงดัง หายใจอกบุ๋ม ปีกจมูกบาน เขียว
4. เด็กที่มีอัตราการหายใจเร็วกว่าเกณฑ์ปกติตามอายุ ดังนี้
อายุ < 2 เดือน หายใจเร็ว > 60 ครั้ง/นาที
อายุ 2 เดือน-1 ปี หายใจเร็ว > 50 ครั้ง/นาที
อายุ 1-5 ปี หายใจเร็ว > 40 ครั้ง/นาที
อายุ > 5 ปี หายใจเร็ว > 30 ครั้ง/นาที
หากพบอาการผิดปกติ ตั้งแต่ มีไข้ ไอ เจ็บคอ มีน้ำมูก ปวดเมื่อยตามตัว อาเจียน ท้องเสีย นั่นอาจเป็นสัญญาณเตือนจากการติดเชื้อไวรัสบริเวณทางเดินหายใจส่วนบน คุณพ่อคุณแม่ควรพาลูกไปพบแพทย์เพื่อหาสาเหตุและวินิจฉัยแยกโรคให้ชัดเจน จะได้รับการรักษาที่เหมาะสมต่อไป
COMMENTS ARE OFF THIS POST