สำหรับคุณแม่แล้ว สุขภาพของลูกเป็นเรื่องที่สร้างความกังวลใจให้ได้เสมอ ยิ่งคุณแม่มือใหม่ เพิ่งมีลูกคนแรก ไม่เคยมีประสบการณ์ในการเลี้ยงดูทารกมาก่อนก็ยิ่งแล้วใหญ่ แค่ลูกมีน้ำมูกเล็กๆ ไอเบาๆ เอ๊ะ ตัวร้อนมั้ย เป็นไข้หรือเปล่า แค่นี้มนุษย์แม่ก็กระวนกระวายใจ มือซ้ายกำกุญแจรถ มือขวาเตรียมคว้าลูก แล้วพุ่งไปโรงพยาบาลได้ทุกเมื่อ
และต้องยอมรับกันแต่โดยดีว่า การรักษาพยาบาลที่รวดเร็วทันใจพอที่จะให้คุณแม่หายห่วงได้ ก็มักจะมาพร้อมกับค่าใช้จ่ายแสนแพง
นี่จึงเป็นที่มาว่าทำไมประกันสุขภาพเด็กถึงควรเป็นหนึ่งในสิ่งที่คุณแม่ควรใส่ไว้ลิสต์เตรียมความพร้อมก่อนคลอดลูก เพราะเมื่อถึงเวลาที่ต้องใช้จ่ายไปกับค่ารักษาพยาบาลลูก ประกันสุขภาพนี่แหละที่จะช่วยแบ่งเบาความกังวลใจและลดภาระค่าใช้จ่ายของครอบครัวลงได้มากเลยทีเดียว
เด็กเล็กมีเรื่องให้ต้องเข้าโรงพยาบาลบ่อยจริงเหรอ?
จากประสบการณ์ส่วนตัว ก็คงต้องบอกว่าจริงค่ะ และสาเหตุที่ทำให้แม่ๆ กังวลใจเกี่ยวกับสุขภาพและความเจ็บป่วยของลูกจนต้องหอบหิ้วกันไปให้คุณหมอที่โรงพยาบาลช่วยเช็กสภาพก็เพราะว่าเด็กเล็กหรือทารกนั้นไม่สามารถสื่อสารความเจ็บป่วยของตัวเองออกมาเป็นคำพูดได้ แม่ก็ทำได้เพียงสังเกตอาการจากการร้องไห้ หรือความผิดปกติตามส่วนต่างๆ ของร่างกายลูก แล้วคาดเดาไปตามประสบการณ์และความรู้เล็กๆ น้อยๆ เท่าที่พอจะหาได้ แต่สำหรับแม่มือใหม่อย่างเรา อะไรๆ ก็สามารถเป็นเรื่องผิดปกติได้หมดในเวลาเช่นนั้น (ฮืออออ )
ที่สำคัญเด็กเล็กยังมีภูมิคุ้มกันต่ำ ยังไม่สามารถป้องกันตัวเองหรือรับมือกับเชื้อโรคได้ดีเท่าผู้ใหญ่ เห็นได้จากเด็กบางคนแค่ยื่นมือไปจับของเล่น แล้วเอามือที่รับเชื้อโรคมาเข้าปาก ตื่นเช้ามาก็ท้องเสียได้แล้ว ไหนจะอุบัติเหตุที่อาจจะเกิดจากความซุกซนตามวัย ปุ๊บปั๊บรับแผลก็เกิดขึ้นได้แทบทุกวันเลยล่ะ
แต่การซื้อประกันสุขภาพให้ลูกจะทำแบบสุ่มสี่สุ่มห้าไม่ได้ แม่ๆ อย่างเราต้องละเอียดรอบคอบ มาดูกันว่าอะไรบ้างที่ต้องเช็กก่อนที่จะตัดสินใจซื้อประกันสุขภาพให้ลูกกันดีกว่า
ดูรายละเอียดความคุ้มครองให้ละเอียดครบถ้วน
อย่างแรก แม่ๆ ต้องดูรายละเอียดความคุ้มครองให้ละเอียดครบถ้วน เป็นประกันแบบไหน เช่น ประกันสำหรับผู้ป่วยนอก (OPD) เท่านั้น ซึ่งหมายความว่าประกันประเภทนี้จะไม่ครอบคลุมค่าใช้จ่ายในการรักษาที่ต้องนอนพักรักษาตัวที่โรงพยาบาล) แต่ต้องบอกก่อนเลยว่า สำหรับเด็กอายุต่ำกว่า 3 ปี โรคยอดฮิตที่มาพร้อมกับหน้าฝน เช่น โรคไวรัส RSV โรคนี้โรคเดียวก็จำเป็นต้องรักษาตัวในโรงพยาบาลอย่างน้อย 5 วันแล้วล่ะค่ะ
สิ่งต่อมาที่ต้องดูให้ดีก็คือประกันจะครอบคลุมค่ารักษาพยาบาลส่วนไหนบ้าง มีเงื่อนไขและข้อยกเว้นอย่างไรบ้าง เพราะค่าใช้จ่ายสำหรับการรักษาตัวเป็นผู้ป่วยในของโรงพยาบาล จะยิบย่อยมากๆ มีทั้งค่ายา ค่าให้สารอาหารทางเลือด ค่าแพทย์ผู้วินิจฉัย ค่ายากลับบ้าน ค่าเวชภัณฑ์สิ้นเปลือง ฯลฯ ส่วนนี้เป็นรายใช้จ่ายจุกจิกที่แนะนำว่าคุณแม่ต้องดูให้ละเอียด รวมไปถึงช่วงอายุที่รับประกันก็ต้องเช็กกันให้ดี
หาข้อมูลค่าใช้จ่ายของโรงพยาบาลใกล้บ้าน
คุณแม่ควรหาข้อมูลค่าใช้จ่ายของโรงพยาบาลใกล้บ้านเอาไว้เปรียบเทียบ เช่น ค่าห้องพักต่อคืน ค่าห้องพัก ค่ารักษา ค่ายาค่าแพทย์ผู้วินิจฉัย ค่ายา เผื่อเวลาฉุกเฉินจะได้พร้อมพาลูกไปรักษาตัวได้ทันที ไม่ต้องห่วงหน้าพะวงหลังว่า เมื่อบวกลบคูณหารค่าใช้จ่ายทุกอย่างแล้ว ยังอยู่ในความคุ้มครองของประกันหรือไม่ หรือถ้าต้องมีการจ่ายส่วนต่างเอง โรงพยาบาลไหนราคาเป็นอย่างไรบ้าง
ค่าเบี้ยประกัน
ทีนี้ก็มาว่ากันด้วยค่าเบี้ยประกันภัยที่ต้องชำระในแต่ละปี เพราะนี่ก็เป็นส่วนสำคัญในการตัดสินใจเลือกซื้อประกันสุขภาพให้ลูก ถึงแม้ว่าจะต้องการความคุ้มครองที่ครอบคลุมมากแค่ไหนก็ควรวางแผนและเลือกประกันที่เบี้ยประกันเหมาะสมกับสภาพเศรษฐกิจของครอบครัว และคาดการณ์ว่าจะสามารถจ่ายเบี้ยประกันอย่างต่อเนื่องในระยะยาวได้ อ้อ! อย่าลืมเลือกบริษัทประกันและตัวแทนที่น่าเชื่อถือ เพราะไม่เช่นนั้นการทำประกันสุขภาพให้ลูก อาจจะเป็นสร้างความตึงเครียดทางการเงินและรำคาญใจให้กับครอบครัวในระยะยาวได้
COMMENTS ARE OFF THIS POST