READING

Carroll Prep School : โรงเรียนที่พร้อมปลูกฝังให้เด...

Carroll Prep School : โรงเรียนที่พร้อมปลูกฝังให้เด็กรับมือกับโลกแห่งอนาคต

Carroll Prep School

การเลือกโรงเรียนโดยเฉพาะโรงเรียนที่จะมาเป็นโรงเรียนแรกในชีวิตของลูก ย่อมเป็นเรื่องสำคัญสำหรับคุณพ่อคุณแม่ ที่ต้องชั่งน้ำหนักการให้ความสำคัญของพื้นฐานที่อยากส่งเสริมและปลูกฝังให้ลูกได้รับจากโรงเรียน

เช่นเดียวกับ คุณแพท—พนิดา แคร์โรลล์ หนึ่งในผู้ก่อตั้งโรงเรียน Carroll Preparatory School ที่เริ่มต้นจากการเป็นคุณแม่ที่ต้องการหาโรงเรียนที่เหมาะสมที่สุดสำหรับลูก ด้วยความหวังว่าโรงเรียนจะเป็นรากฐานที่ทำให้ลูกเติบโตอย่างมีคุณภาพ จนกลายเป็นที่มาของโรงเรียน Carroll Preparatory School โรงเรียนเล็กๆ ที่ซ่อนตัวอยู่ในตลาดบองมาร์เช่ ย่านประชาชื่น แห่งนี้

จุดเริ่มต้นของ Carroll Preparatory School

“เราทำเลิร์นนิ่ง เซ็นเตอร์มาตั้งแต่ปี 2005 ทำให้มีโอกาสได้รับเด็กมาจากโรงเรียนต่างๆ แต่พบว่าเด็กต่างโรงเรียนมีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกันก็คือ เด็กส่วนมากขาดหลายๆ ทักษะที่สำคัญการต่อการใช้ชีวิต เช่น เด็กไม่กล้ายกมือถาม หรือครูถาม เด็กก็ไม่กล้าตอบ เพราะกลัวตอบผิด นอกจากนี้ยังพบว่าเด็กหลายคนมีทัศนคติเกี่ยวกับการเรียนที่ไม่ดี ไม่อยากมาโรงเรียน และรู้สึกเบื่อหน่ายเมื่อพูดถึงโรงเรียน ทำให้เด็กหมดความสงสัยใฝ่รู้ แม้แต่เด็กอนุบาลเองก็หมดไฟในการเรียนได้ เลยทำให้เรามานั่งคิดว่าถ้าเด็กๆ ได้มาเจอเราแค่วันเสาร์อาทิตย์ไม่กี่ชั่วโมง เราอาจจะไม่สามารถพัฒนาเด็กได้มากขนาดนั้น

จนปี 2016 เรามีลูก ก็เลยมีความรู้สึกว่าไม่อยากส่งลูกไปโรงเรียนแล้ว กลัวว่าส่งลูกไปเรียนแล้วต้องกลับมาซ่อมลูกอีก ซึ่งมันเสียเวลา เพราะที่ผ่านมาเราคิดว่าเราเลี้ยงลูกได้ดี ไม่อยากส่งลูกไปเรียนแล้วทำให้เขาเป็นเด็กที่หมดไฟกลับมา จึงคิดว่าจะทำโฮมสกูลให้ลูก

ตอนแรกก็เริ่มจากทำพรีเนอร์เซอรี จนกระทั่งชั้นอนุบาล พอดีว่าตลาดบองมาร์เช่กำลังจะสร้างตึกใหม่ เราก็อยากได้มาทำศูนย์การเรียนรู้โฮมสกูลเซ็นเตอร์ แต่ไปๆ มาๆ ก็มาทำเป็นโรงเรียน ปัจจุบันกำลังเปิดชั้นเรียนตามอายุลูกไปเรื่อยๆ ซึ่งตอนนี้มีแค่ชั้นประถม 2 แต่ในอนาคตคิดว่าจะมีถึงชั้นประถม 6 แน่นอน” — คุณแพท เล่าเหตุผลที่ทำให้ตัดสินใจเปิดโรงเรียน Carroll Preparatory School ขึ้น

หลักสูตรที่ปลูกฝังให้เด็กพร้อมรับมือกับโลกแห่งอนาคต

ที่โรงเรียน Carroll Preparatory School ใช้หลักสูตรจากออนแทริโอ ประเทศแคนาดา และจับเอาจุดเด่นของแนวทางอื่นๆ เช่น Montessori และ Reggio Emilia มาปรับใช้กับหลักสูตรแกนกลางของประเทศไทย หลักๆ ก็คือเน้นการปล่อยให้เด็กๆ ได้เล่นจนเกิดการเรียนรู้ขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป

นอกจากนี้ โรงเรียนได้นำข้อมูลและงานวิจัยที่เหมาะสม มาเป็นวิธีการสอนเด็ก เพื่อให้นักเรียนของเราเท่าทันโลก ยืดหยุ่น และพร้อมรับมือกับความเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา เพราะปัจจุบันเทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทกับชีวิตของเราเป็นอย่างมาก ทำให้เด็กๆ ของเรามีทักษะการใช้ชีวิตน้อยลง เราจึงพยายามปลูกฝังให้เด็กมีทักษะเหล่านี้ เพื่อที่จะสามารถเผชิญกับทุกความเปลี่ยนแปลงได้ ตั้งแต่เรื่องเล็กไปจนถึงเรื่องใหญ่ เช่น การย้ายโรงเรียน ย้านบ้าน ย้ายงาน ย้ายประเทศ รวมถึงเผชิญความเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมได้

ห้องเรียนที่ไม่มีห้อง ไม่มีโต๊ะเรียน ไม่มีผนังกั้น

เมื่อเดินเข้ามาถึงโซนในห้องเรียน เราก็นึกสงสัยว่าทำไมห้องเรียนที่นี่ถึงไม่มีโต๊ะ ไม่มีเก้าอี้ ไม่มีกระดานหน้าห้อง อย่างที่โรงเรียนทั่วไปควรจะมี

คุณแพทบอกกับเราว่า เพราะที่นี่จัดการเรียนรู้แบบ open classroom จึงไม่มีการแบ่งห้อง ไม่มีโต๊ะเรียน เพื่อกระตุ้นให้เด็กๆ เดินเข้าไปเรียนรู้ด้วยตนเอง ทำให้เขาไม่รู้สึกว่าการเรียนน่าเบื่อ และคุณครูก็สามารถมองเห็นเด็กได้ทุกจุด เพราะความปลอดภัยของเด็กเป็นสิ่งสำคัญ

นอกจากนี้ในชั้นเรียน ยังคละอายุของเด็กๆ เพื่อเปิดโอกาสให้เด็กๆ ทำงานร่วมกัน เรียนรู้ทักษะทางสังคม พี่โตจะช่วยดูแลน้องที่เล็กกว่า และน้องเล็กได้เรียนรู้จากพี่เด็กโต โดยทางโรงเรียนเชื่อว่าการเรียนรู้แบบนี้เป็นเรื่องธรรมชาติ เหมือนการทำงานในชีวิตจริงที่เราจะต้องเจอกับเพื่อนร่วมงานต่างอายุ และทำงานร่วมกันได้

ส่วนเรื่องภาษา การเรียนการสอนจะเน้นใช้ภาษาอังกฤษและภาษาไทยเป็นหลัก และมีภาษาจีน เป็นภาษาที่สอง พร้อมกับนำเสนอให้คุ้นเคยและรู้จักภาษาสเปน

“เราใช้หลักสูตรต่างชาติ (แต่ไม่ใช่นานาชาติ) เราจะไม่ห้ามให้เด็กพูดภาษาไทย เพราะการที่เราไปบอกเขาว่าห้ามใช้ภาษาไทย นั่นหมายความว่าเราทำให้เด็กๆ เขามองความเป็นไทยไม่ดีไปแล้ว”

ชั้นเรียนขนาดเล็ก

“ที่นี่จะมีคุณครูโฮมรูม (คุณครูประจำชั้น) 1 คน ต่อเด็ก 12 คน ด้วยสัดส่วนนี้ทำให้เรามั่นใจว่าได้ว่านักเรียนจะได้รับการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพ ได้รับการการดูแลใส่ใจอย่างเต็มที่ และทำให้เด็กเรียนรู้ได้เร็วมากขึ้น”

เด็กมีส่วนในการควบคุมการศึกษาของตัวเอง

กิจวัตรประจำวันของเด็กแคร์โรลล์ เพรพ คือเมื่อมาถึงโรงเรียน จะมีหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายแตกต่างกันไป เช่น รดน้ำต้นไม้ ให้อาหารสัตว์

นอกจากนี้ เด็กๆ มีส่วนในการควบคุมการศึกษาของตนเองได้อีกด้วย

“เราจะมีบอร์ดตารางเอาไว้ให้เด็กดูว่าวันนี้จะต้องเรียนรู้เรื่องไหนบ้าง เขาก็สามารถจัดตารางเรียนของตัวเองได้ว่าอยากเรียนวิชาไหนก่อน”

“หนึ่งในคุณสมบัติที่จะต้องมีคือ การอ่านนิทานให้ลูกฟังทุกวัน เพราะโรงเรียนจะไม่มีการบ้านให้เด็กทำ แต่จะใช้การอ่านในครอบครัวอย่างอบอุ่นเพื่อกระตุ้นให้เด็กรู้สึกว่าการอ่านมีความสุข และอยากอ่านด้วยตนเอง”

ผู้ใหญ่คือส่วนสำคัญในการเรียนรู้ของเด็ก

บรรยากาศเป็นส่วนสำคัญของโรงเรียน ผู้ใหญ่ทุกคนคือส่วนหนึ่งของการศึกษา ไม่ว่าจะเป็นทัศนคติพ่อแม่ ผู้ปกครอง หรือแม้แต่ทัศนคติของครู ย่อมส่งผลต่อเด็กแน่นอน

เราจะเลือกผู้ปกครองที่มีทัศนคติเชิงบวก ไม่ใช่ส่งลูกมาเรียนแล้วคาดหวังว่าลูกจะต้องอ่านหนังสือออก เขียนหนังสือได้ และต้องเข้าใจว่าโรงเรียน ครู ผู้ปกครอง เป็นทีมเดียวกัน ที่มีเป้าหมายเหมือนกันคือพัฒนาเด็กให้ไปสุดศักยภาพ

ดังนั้นการรับเด็กนักเรียนเข้ามาเรียนในแคร์โรลล์ เพรพ จึงเริ่มจากการพูดคุยสัมภาษณ์คุณพ่อคุณแม่ถึงการเลี้ยงดูก่อนว่าเหมาะสมกับการเรียนของที่นี่หรือไม่ หนึ่งในคุณสมบัติที่จะต้องมีคือ การอ่านนิทานให้ลูกฟังทุกวัน เพราะโรงเรียนจะไม่มีการบ้านให้เด็กทำ แต่จะใช้การอ่านในครอบครัวอย่างอบอุ่นเพื่อกระตุ้นให้เด็กรู้สึกว่าการอ่านมีความสุข และอยากอ่านด้วยตนเอง เมื่อเด็กมีความใฝ่รู้ด้วยตนเองแล้ว หลังจากนั้นสิ่งอื่นๆ จะตามมาเองโดยที่คุณพ่อคุณแม่และครูไม่ต้องพยายามอะไรมาก

โรงเรียนที่มีบรรยากาศดี จะทำให้เด็กเรียนรู้ได้ดี

ก่อนจากกันวันนี้ เราเกิดคำถามที่สงสัยว่าทำไมโรงเรียนถึงรายล้อมไปด้วยต้นไม้ใหญ่ทั่วทุกมุมของอาคาร ซึ่งเราได้พบ คุณจอร์จ แคร์โรลล์ อีกหนึ่งผู้ก่อตั้งและเป็นผู้ออกแบบโรงเรียนแคร์โรลล์ เพรพ เล่าให้เราฟังว่า ที่นี่ตั้งใจออกแบบภายในอาคารอย่างละเอียด เพื่อให้ทุกพื้นที่เชื่อมเด็กและธรรมชาติเข้าด้วยกัน เพราะในโรงเรียนจะมีจุดหลักเป็นต้นไม้ขนาดใหญ่ที่สวยงามถึง 12 ต้นที่แตกต่างกันไป

แม้โรงเรียนจะมีข้อจำกัดในการทำพื้นที่สวนขนาดใหญ่และสนามหญ้า แต่ขนาดของโรเงรียนก็ไม่เป็นอุปสรรคต่อการเรียนรู้ของเด็กๆ เพราะโรงเรียนยังมีมุมให้เด็กๆ ได้เล่นกับธรรมชาติ เช่น สนามเด็กเล่นในร่มเพื่อให้เด็กๆ ได้เล่นปีนป่ายและปล่อยพลังกันอย่างเต็มที่ โซนเล่นบ่อทราย หรือแม้แต่ห้องศิลปะที่สามารถเข้าไปละเลงสีให้เลอะเทอะเท่าไรก็ได้

“เราอยากให้เด็กๆ รายล้อมไปด้วยบรรยากาศที่สวยงาม กระตุ้นความคิดสร้างสรรค์ เด็กอยู่โรงเรียนอย่างน้อย 6-8 ชั่วโมง ถ้าต้องอยู่ในห้องสี่เหลี่ยมเล็กๆ ก็ยากที่จะกระตุ้นให้เกิดไอเดียใหม่ๆ ได้ เราพบว่า การมีห้องเรียน โรงเรียนที่มีบรรยากาศดี ทำให้เด็กเรียนรู้ได้ดี ปรับตัวได้เร็ว และอยากมาโรงเรียน” คุณจอร์จ แคร์โรลล์ กล่าว

โรงเรียนแคร์โรลล์ เพรพ (Carroll Preparatory School)
รับนักเรียนอายุตั้งแต่: Kindergarten 0 จนถึง Prathom 6 (ปัจจุบันมีถึง Prathom 2)
ค่าธรรมเนียมการศึกษา
1 ปีการศึกษา มี 2 ภาคเรียน
ปีการศึกษาละ 220,000-257,000
ค่าธรรมเนียมการสมัคร 5,000 บาท (ชำระครั้งเดียว)
ค่าแรกเข้า 150,000 (ชำระครั้งเดียว)
ที่อยู่: 105/1 อาคาร G ตลาดบองมาร์เช่ ถนนเทศบาลสงเคราะห์ แขวงลาดยาว เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900
เบอร์ติดต่อ: 02-954-2168
email: info@carrollprep.ac.th
Facebook: carrollprep

Supinya R.

ชอบอ่านนิยายสยองขวัญ ชอบเขียนไดอารี่ และเป็นคุณแม่จำเป็นในบางเวลา :-)

COMMENTS ARE OFF THIS POST