คู่สามีภรรยาหลายคู่ต้องเผชิญความกดดัน เมื่อถูกถามและจับตามองว่าเมื่อไหร่จะมีเจ้าตัวเล็กมาช่วยเติมเต็มชีวิตคู่ให้สมบูรณ์สักที

แต่ความจริงแล้ว ช่วงเวลาที่พร้อมแหละเหมาะสมที่สุดสำหรับการมีลูก เป็นเรื่องที่ไม่มีใครสามารถรู้ดีไปกว่าว่าที่คุณพ่อคุณแม่ทั้งสอง ดังนั้นการมีลูก จึงไม่ควรให้ความกดดันจากคนรอบข้างมามีส่วนในการตัดสินใจ แต่ควรมาจากการประเมินความพร้อมของคุณพ่อคุณแม่เอง

แน่นอนว่า สิ่งแรกที่ควรนึกถึงคือสุขภาพร่างกายของว่าที่คุณแม่ ว่าพร้อมและแข็งแรงพอสำหรับการตั้งครรภ์หรือไม่ แต่นอกจากนั้นมีอะไรอีกบ้างที่ควรนึกถึง หากต้องการมีลูกน้อยเข้ามาเป็นสมาชิกใหม่ในครอบครัว

1. การเงินครอบครัวเป็นอย่างไร

เราคงปฏิเสธไม่ได้ว่าการที่ครอบครัวจะมีสมาชิกตัวเล็กๆ เพิ่มขึ้นสักคน จะทำให้ค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นไม่น้อย และเพิ่มขึ้นทันทีตั้งแต่เริ่มฝากครรภ์ ทำคลอด ค่าอุปกรณ์การเลี้ยงดู ค่าเสื้อผ้า ค่าผ้าอ้อม ค่าประกันสุขภาพ ตลอดจนถึงค่าการศึกษาที่ต้องใช้จ่ายต่อไปในระยะยาว

ดังนั้น สถานะการเงินและความมั่นคงของครอบครัว จึงเป็นเรื่องสำคัญที่คุณพ่อคุณแม่ไม่ควรมองข้ามหากต้องการวางแผนมีลูกเลยล่ะค่ะ

2. ความสัมพันธ์ภายในครอบครัวเป็นอย่างไร

ความสัมพันธ์ระหว่างสามีภรรยาก็เป็นอีกเรื่องที่ต้องนึกถึงก่อนตัดสินใจมีลูก เพราะหากความสัมพันธ์ระหว่างสามีภรรยาไม่ราบรื่น การมีลูกอาจไม่ใช่คำตอบที่เหมาะสมในเวลานั้นก็เป็นได้

Edward Kruk, Ph.D. ผู้เชี่ยวชาญด้านครอบครัว จาก University of British Columbia กล่าวว่า ‘ถ้าความสัมพันธ์มีปัญหาก่อนที่เด็กจะเข้ามา เมื่อมีลูกปัญหาเหล่านั้นมักจะเลวร้ายมากขึ้นเรื่อยๆ จนสั่นคลอน และทำร้ายทุกคน’

ดังนั้น ก่อนจะตัดสินใจมีลูก การหันมาโฟกัสที่ความสัมพันธ์แบบสามีภรรยา ปรับทัศนติ และพูดคุยถึงเป้าหมายของครอบครัวก่อนที่จะตัดสินใจมีลูกน้อย ก็เป็นเรื่องที่ควรทำค่ะ

3. สามารถพึ่งพาและดูแลตัวเองได้ไหม

นอกจากความพร้อมทางความสัมพันธ์และการเงินแล้ว ความพร้อมทางศักยภาพในการดูแลตัวเองและคนอื่นก็เป็นเรื่องที่ต้องนึกถึงนะคะ

จริงอยู่ที่ว่าคุณพ่อคุณแม่สามารถขอความช่วยเหลือจากญาติพี่น้อง หรือจ้างพี่เลี้ยงเข้ามาช่วยดูแลลูกน้อยได้ แต่ถึงอย่างนั้นหน้าที่การเลี้ยงดูและอบรมสั่งสอนลูก ก็ควรจะอยู่ที่คุณพ่อคุณแม่เป็นหลัก

ดังนั้นหากคุณพ่อคุณแม่ยังไม่มั่นใจว่าสามารถดูแลตัวเองเป็นที่พึ่งพาที่ดีของคนในครอบครัวได้ นั่นอาจเป็นสัญญาณเตือนเล็กๆ ว่าเรายังไม่พร้อมมากพอสำหรับการมีลูกก็ได้

4. อาชีพหรืองานที่ทำอยู่ เหมาะแก่การจัดสรรเวลาให้ลูกหรือไม่

ก่อนตั้งครรภ์หลายคนอาจจะคิดว่า การลาคลอดเป็นเรื่องของอนาคต แต่ถึงอย่างนั้น ว่าที่คุณแม่ก็จำเป็นที่จะต้องรู้ว่าบริษัทหรืออาชีพที่ทำเราอยู่มีกฎและสวัสดิการเกี่ยวกับการลาคลอดอย่างไร และหลังคลอดคุณพ่อคุณแม่จะมีเวลาเลี้ยงดูและอยู่กับลูกมากน้อยแค่ไหน

5. พร้อมที่จะเสียสละบางอย่างในชีวิตหรือเปล่า

เมื่อต้องเป็นคุณพ่อคุณแม่ ชีวิตเดิมๆ ย่อมเปลี่ยนไปไม่มากก็น้อย จากที่เคยอยู่กันสองคน มีเวลาส่วนตัว มีงานอดิเรก มีเวลาพักผ่อนตามวิถีชีวิตของแต่ละคน พอมีลูก ไม่ว่าจะพยายามทำตัวเหมือนเดิมแค่ไหน ก็ต้องยอมรับว่าบางสิ่งบางอย่างในชีวิตต้องเปลี่ยนไป…ก่อนวางแผนมีลูก ว่าที่คุณพ่อคุณแม่ควรไตร่ตรองอีกนิดว่าพร้อมหรือเปล่า หากต้องสละบางสิ่งที่เคยทำในชีวิตและเปลี่ยนวิถีชีวิตให้เข้ากับรูปแบบครอบครัวที่มีลูกเข้ามาเป็นองค์ประกอบใหม่และสำคัญในชีวิต

6. มีพื้นที่เพียงพอสำหรับลูกไหม

พื้นที่สำหรับการเลี้ยงลูกก็เป็นอีกหนึ่งเรื่องสำคัญที่เราไม่ควรมองข้าม เพราะเด็กย่อมต้องการทั้งพื้นที่และอุปกรณ์ในการเลี้ยงดู ของเล่นสำหรับเรียนรู้ แม้แต่เฟอร์นิเจอร์ที่เหมาะกับรูปร่างและพัฒนาการ ก็มีโอกาสที่จะมีจำนวนเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ

เราจึงต้องวางแผนว่าหากมีลูก ลูกจะได้ใช้พื้นที่ส่วนไหนในบ้าน มีพื้นที่เพียงพอสำหรับข้าวของและการเติบโตของลูกหรือไม่ หากจำเป็นต้องขยับขยายก็ควรมองหาช่องทางหรือจัดการให้พร้อมก่อนที่เจ้าตัวเล็กจะคลอดได้ก็น่าจะดีเลยค่ะ