READING

โรคกลัวตกกระแส (FOMO) : 3 วิธีรับมือ ลูกวัยรุ่นกลั...

โรคกลัวตกกระแส (FOMO) : 3 วิธีรับมือ ลูกวัยรุ่นกลัวตกกระแสเกินเหตุ

โรคกลัวตกกระแส (FOMO)

ในยุคที่การทันโลกทันเหตุการณ์ และเป็นผู้นำกระแสสังคมกลายเป็นหนึ่งในคุณสมบัติสำคัญที่หลายคนอยากมี เราจึงเริ่มได้ยินคำว่า โรคกลัวตกกระแส หรือ FOMO (Fear of Missing Out) มากขึ้นเรื่อยๆ

ปัจจัยหนึ่งที่ทำให้การตกยุคตกกระแสเป็นเรื่องน่ากลัวสำหรับหลายคนก็คือโซเชียลมีเดีย ที่ใช้เป็นเครื่องมือเชื่อมต่อและเป็นส่วนหนึ่งกับโลกภายนอก อาจทำให้เด็กๆ และวัยรุ่นรู้สึกจดจ่อกับความเป็นไปของคนอื่นมากจนรู้สึกเครียดและเป็นกังวล กลัวว่าตัวเองจะพลาดโอกาสทำอะไรเหมือนคนอื่น ตามไม่ทันคนอื่น และเกิดเป็นความไม่พึงพอใจในชีวิตตัวเองได้

ผลสำรวจจาก The National Stress and Wellbeing เกี่ยวกับความเครียดและความเป็นอยู่ที่ดีในออสเตรเลียปี 2015 พบว่าวัยรุ่นออสเตรเลีย 1 ใน 2 คน อยู่ในภาวะ FOMO และยังพบอีกว่า 56 เปอร์เซ็นต์ของวัยรุ่นออสเตรเลีย ใช้โซเชียลมีเดียอย่างหนัก และเกิดความกังวลเมื่อเห็นภาพเพื่อนๆ มีความสุขสนุกสนานโดยที่ตัวเองไม่ได้มีส่วนร่วมในกิจกรรมนั้นๆ

นอกจากนี้ผลการสำรวจเดียวกันยังแสดงให้เห็นว่า วัยรุ่นและผู้ใหญ่ในช่วงอายุ 18 – 35 ปี ได้รับผลกระทบจากภาวะ FOMO มากที่สุดอีกด้วย

ทำความรู้จัก โรคกลัวตกกระแส (FOMO)

FOMO_web_1

Oxford English Dictionary ได้มีการบัญญัติคำศัพท์ Fear of missing out หรือ FOMO เอาไว้ในปี 2013 โดยให้ความหมายว่า อาการวิตกกังวลว่าตนเองจะตกเทรนด์ ตามไม่ทันกระแส และรู้สึกพลาดกิจกรรมทางสังคม จนนำไปสู่การด้อยค่าตนเอง เช่น วัยรุ่นที่รู้สึกว่าตัวเองไร้ค่า เมื่อไม่ได้ไปร่วมคอนเสิร์ตที่เพื่อนๆ ไป จนนำไปสู่ความรู้สึกเป็นกังวล หงุดหงิด และเครียดมากกว่าที่ควร

สัญญาณทางพฤติกรรมของลูกวัยรุ่นที่กำลังตกอยู่ในภาวะ FOMO

FOMO_web_2

• ติดโซเชียลมีเดียมากเกินไป

• หมกมุ่นและต้องคอยเช็กหน้าฟีดส์ตลอดเวลาเพราะไม่อยากพลาดเรื่องสำคัญ

• รู้สึกกระวนกระวายใจเมื่อไม่มีอินเทอร์เน็ตและอุปกรณ์สื่อสารในมือ

• กลัวการตกกระแส และไม่อยากพลาดข่าวสาร

• คอยอัปเดตและแชร์เรื่องราวของตัวเองบนโซเชียลมีเดียตลอดเวลา

• เป็นกังวลและไม่สบายใจ เมื่อไม่ได้ทำกิจกรรมหรือไปเที่ยวกับคนอื่น

• ชอบเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่น

• พยายามทำตัวให้เป็นที่รักและสนใจของคนอื่น

3 วิธีรับมือ ลูกวัยรุ่นกลัวตกกระแสเกินเหตุ

1. ชวนลูกทำกิจกรรมเพื่อพักจากหน้าจอ

FOMO_web_3

เมื่อคุณพ่อคุณแม่เห็นว่าลูกเริ่มติดโทรศัพท์และใช้โซเชียลมีเดียมากเกินไป อาจพยายามยับยั้งลูกด้วยการตำหนิ ต่อว่า รวมถึงลงโทษด้วยการยึดโทรศัพท์ แต่การทำเช่นนั้น จะยิ่งทำให้ลูกวัยรุ่นรู้สึกเครียด ต่อต้าน และมีพฤติกรรมก้าวร้าวกับคุณพ่อคุณแม่มากขึ้น

ดังนั้น หากคุณพ่อคุณแม่ไม่อยากให้ลูกใช้เวลากับโซเชียลมีเดียมากเกินไป ลองเปลี่ยนวิธีเป็นการชวนลูกทำกิจกรรมอื่นร่วมกัน เช่น ชวนลูกทำขนม ชวนลูกออกกำลังกาย หรือส่งเสริมให้ลูกเลือกกิจกรรมที่ชอบมากขึ้นจะเป็นวิธีที่ดีกว่าค่ะ

2. จดบันทึกอารมณ์เชิงลบ

FOMO_web_4

คุณพ่อคุณแม่อาจสอนให้ลูกรู้ทันอารมณ์และความรู้สึกตัวเอง เช่น เวลาที่ลูกเห็นชีวิตคนอื่นผ่านโซเชียลมีเดียแล้วรู้สึกกระวนกระวายใจ รู้สึกด้อยค่าที่ไม่ได้ทำกิจกรรมเหมือนคนอื่น ลองให้ลูกเขียนบันทึกอารมณ์เชิงลบของตัวเองออก นอกจากจะช่วยให้ลูกได้ระบายความเครียดที่รบกวนจิตใจแล้วยังช่วยทบทวนอารมณ์และสำรวจตัวเองว่าลูกหมกมุ่นอยู่กับความรู้สึกเชิงลบเหล่านี้มากเกินไปหรือเปล่า เมื่อลูกรู้เท่าทันจิตใจอละอารมณ์ของตัวเองแล้ว ก็จะสามารถควบคุมและแก้ไขได้ดีขึ้นอีกด้วย

3. สอนลูกให้อยู่กับความเป็นจริง

FOMO_web_5

คุณพ่อคุณแม่ควรมีส่วนที่จะทำให้ลูกตระหนักถึงการใช้ชีวิตจริงให้มีความสุขไม่น้อยไปกว่าในโลกออนไลน์ ด้วยการพูดคุยและชี้ให้เห็นว่าสิ่งที่ลูกรับรู้ผ่านโซเชียลมีเดียนั้นอาจไม่ใช่ทั้งหมดในชีวิตคนคนนั้น แต่เป็นเพียงบางส่วนที่ต้องการให้คนอื่นรับรู้

ดังนั้น เมื่อลูกลูกรู้สึกเศร้าและกังวลใจเมื่อรู้สึกด้อยกว่าคนอื่น ตกเทรนด์ และไม่ทันกระแส ลองหันกลับมาโฟกัสเรื่องราวดีๆ ในชีวิตของตัวเอง ค้นหาความภาคภูมิใจในตนเอง ก็จะช่วยให้ลูกวัยรุ่นมีความสุขกับชีวิตจริงของตัวเองมากขึ้นได้

อ้างอิง
verywellfamily
mahidol
lifehacker
mangozero
starfishlabz

Supinya R.

ชอบอ่านนิยายสยองขวัญ ชอบเขียนไดอารี่ และเป็นคุณแม่จำเป็นในบางเวลา :-)

COMMENTS ARE OFF THIS POST