READING

สร้างพื้นฐานชีวิตลูก : 3 แนวทางสร้างพื้นฐานชีวิตลู...

สร้างพื้นฐานชีวิตลูก : 3 แนวทางสร้างพื้นฐานชีวิตลูก เพราะลูกเป็นเด็กได้แค่ครั้งเดียว

สร้างพื้นฐานชีวิตลูก

วัยเด็กคือช่วงเวลาสำคัญสำหรับการสร้างพื้นฐานชีวิตที่แข็งแกร่งให้กับลูกและเพราะลูกของเราเป็นเด็กได้แค่เพียงครั้งเดียว หัดเดินแค่ช่วงเดียว เป็นเด็กวัยอนุบาลได้แค่ 3-4 ปี คุณพ่อคุณแม่จึงควรเก็บเกี่ยวและฉวยช่วงเวลาสำคัญเอาไว้

นายแพทย์ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ระบุแนวทางสำคัญของการ สร้างพื้นฐานชีวิตลูก สร้างลูกให้แข็งแกร่ง และรู้จักควบคุมตัวเอง สามารถสร้างได้ด้วย 3 สิ่งสำคัญคือ อ่าน-เล่น-ทำงาน (บ้าน) เพราะสิ่งเหล่านี้ จะช่วยสร้าง EF หรือ Executive functions ทักษะสมองเพื่อจัดการชีวิตสำหรับลูกต่อไป

เราจึงชวนคุณพ่อคุณแม่มาทำความรู้จักแนวทาง สร้างพื้นฐานชีวิตลูก ตั้งแต่ในช่วงวัยเด็ก เพื่อให้ลูกพร้อมที่จะเติบโตอย่างแข็งแกร่งต่อไปในอนาคต

1. โลกนี้กว้างใหญ่ เรียนรู้ได้ ด้วย ‘การอ่าน’

foundationchildlife_web_1

Laura Phillips, PsyD ผู้อำนวยการอาวุโสของศูนย์การเรียนรู้และพัฒนาที่ Child Mind Institute ระบุว่า การอ่านทิทานช่วยทำให้เด็กๆ พัฒนาทักษะทางด้านภาษา เรียนรู้เกี่ยวกับโลก พัฒนาความเห็นอกเห็นใจ ทักษะการสื่อสาร ทักษะทางสังคม และทักษะการอ่านออกเขียนได้ ทั้งยังช่วยให้เด็กๆ เรียนรู้วิธีการจัดการกับความรู้สึกของตัวเองได้อย่างเหมาะสม ทั้งยังช่วยสร้างกระบวนการคิด การจดจำ การแก้ปัญหา และการตัดสินใจได้ตั้งแต่วัยเด็ก จนถึงวัยรุ่น สู่วัยผู้ใหญ่ ผ่านตัวละครมากมายในนิทานหลายๆ เล่ม

• การอ่านช่วยลูกเข้าใจโลกของตัวเอง การอ่านนิทานให้ลูกฟังตั้งแต่ยังเล็ก เป็นการส่งมอบความรู้พื้นฐานให้ลูกเข้าใจในสิ่งที่เขาเห็น ได้ยิน ได้ฟัง และได้สัมผัส นอกจากนั้น การอ่านยังเป็นพลังที่ช่วยให้ลูกเชื่อมโยงเรื่องราวภายนอกกับชีวิตน้อยๆ ของเขาได้ดี

• การอ่านสร้างวินัยและสมาธิ การให้เวลาอ่านนิทานกับลูกเป็นประจำ ยังช่วยปลูกฝังการมีวินัย และทำให้ลูกมีสมาธิมากขึ้น อย่างเด็กเล็กๆ จะนั่งนิ่งๆ ได้ไม่นาน แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่คุณพ่อคุณแม่เริ่มอ่านนิทานให้ลูกฟัง ลูกจะเริ่มมีสมาธิ จดจ่ออยู่กับภาพตรงหน้า การเรียนรู้ที่จะอยู่เฉยๆ จนกว่าการอ่านนิทานจนจบได้ จะส่งผลให้ลูกเป็นเด็กมีวินัยในตัวเองมากขึ้น มีสมาธิมากขึ้น ความจำดีขึ้น และเข้าสู่สังคมในโรงเรียนอนุบาลได้ดีขึ้น

• การอ่านสร้างความผูกพันระหว่างคุณพ่อคุณแม่และลูก ดร. ฟิลลิปส์ อธิบายต่อว่า การอ่านนิทานให้ลูกฟัง จะเป็นช่วงเวลาที่แสนอบอุ่น แม้เพียงไม่กี่นาทีก็ตาม แต่จะเป็นช่วงเวลาที่ทำให้คุณพ่อหรือคุณแม่ ได้ใช้เวลาอยู่กับลูกให้ช้าลง แบ่งปันเรื่องราวที่สนุกสนาน ซึ่งสิ่งเหล่านี้มีประโยชน์ต่อการพัฒนาทางสติปัญญาของลูกมาก

ที่สำคัญ การสัมผัสทางกายระหว่างที่ลูกนั่งตักคุณพ่อคุณแม่ตอนอ่านนิทาน จะช่วยกระตุ้นการทำงานของเซลล์ประสาทในสมอง ทำให้เด็กๆ  เกิดประสบการณ์การร่วม จึงเรียนรู้และจดจำการใช้ภาษาได้ง่ายขึ้น

2. หมุนรอบโลกของลูก ด้วยการเล่น (กับลูก)

foundationchildlife_web_2

Michael Yogman, MD, FAAP เคยดำรงตำแหน่งประธานคณะกรรมการ American Academy of Pediatrics (AAP) ด้านจิตสังคมด้านสุขภาพเด็กและครอบครัว ระบุว่า การให้โอกาสลูกได้เล่นอย่างเต็มที่ คือวิธีที่ดีที่สุดที่ช่วยให้ลูกเติบโตอย่างแข็งแกร่ง สู่การเป็นผู้ใหญ่ที่มั่นคง สุขภาพแข็งแรง มีความคิดสร้างสรรค์ เต็มไปด้วยความสุข และทักษะทุกอย่างที่ลูกพึงมีในศตวรรษที่ 21

• การเล่นได้อย่างเต็มที่ นอกจากจะทำให้ร่างกายแข็งแรงแล้ว ยังช่วยพัฒนาทักษะด้านการเคลื่อนไหว ป้องกันโรคอ้วนในเด็ก สร้างความฉลาดอารมณ์ เสริมสร้างทักษะทางสังคม เช่น การเห็นอกเห็นใจผู้อื่น การแบ่งปัน เรียนรู้การวางแผน จัดระเบียยบ และเข้าหาผู้อื่น ทั้งยังมีส่วนทำให้ลูกเรียนเก่ง มีพัฒนาการทางด้านภาษาที่ดี คิดแบบคณิตศาสตร์ได้ดี รวมทั้งช่วยให้เด็กรับมือกับความเครียดได้อีกด้วย

มีการศึกษาในเด็กอายุ 3 -4 ปีที่ต้องเข้าเรียนชั้นอนุบาลหนึ่ง พบว่า การเปิดโอกาสให้เล่นอย่างเต็มที่ก่อนเข้าเรียนเป็นเวลา 15 นาที เด็กๆ มีความรู้สึกเครียดน้อยลงถึงสองเท่าเมื่อเทียบกับเด็กร่วมชั้นที่ใช้วิธีการฟังนิทาน

สิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้ามคือ การเล่นกลางแจ้ง เพราะช่วยให้ลูกได้ใช้ประสาทสัมผัสทั้งห้าเพื่อสร้างทักษะรอบด้าน และยังช่วยทำให้ลูกมีสมาธิมากขึ้น มีผลการศึกษาจากสหรัฐอเมริกา พบว่า เด็กเล็กในประเทศที่โรงเรียนมีเวลาพักให้เล่นมากขึ้น มีแนวโน้วที่จะเรียนเก่งในระดับชั้นที่มากขึ้น

• เล่นกับคุณพ่อคุณแม่ ตามรายงานทางคลินิกของ American Academy of Pediatrics (AAP) เรื่อง The Power of Play: A Pediatric Role in Enhancing Development in Young Children ระบุว่า การเล่นกับคุณพ่อคุณแม่คือ กุญแจสำคัญที่ช่วยเสริมสร้างสติปัญญา สร้างความฉลาดทางอารมณ์ มีทักษะทางสังคมที่ดี ทั้งยังสิ่งที่เชื่อมโยงสายสัมพันธ์ที่ดี และเป็นตัวกระตุ้นให้ลูกมีความมั่นใจในตัวเอง รู้จักรักตัวเอง ควบคุมตัวเองได้ และมีความสุขเป็น

3. พึ่งพาตัวเองเป็น มีความรับผิดชอบ เพราะมีวินัย ผ่านการทำงาน (บ้าน) ตามวัย

foundationchildlife_web_3

หนึ่งในวิธีการเตรียมความพร้อมให้ลูกเผชิญหน้ากับโลกแห่งความเป็นจริงในฐานะผู้ใหญ่คือ การสร้างนิสัยและวินัยเชิงบวก ด้วยการฝึกลูกให้ทำงานบ้านตามวัยตั้งแต่ยังเล็ก นอกจากจะเป็นวิชาที่ลูกสนุกแล้ว ยังทำให้ลูกเรียนรู้เรื่องการลำดับความสำคัญ รู้จักการยับยั้งชั่งใจ พึ่งพาตัวเองเป็น รู้หน้าที่ มีความรับผิดชอบต่อตัวเอง และผู้อื่น โดยจะติดตัวกลายเป็นนิสัยที่ดีจนถึงวัยผู้ใหญ่

ผลการวิจัยจาก THE UNIVERSITY OF MINNESOTA แสดงให้เห็นว่า การให้เด็กๆ ช่วยทำงานบ้านตั้งแต่อายุ 3 ขวบ มีแนวโน้วที่จะประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานได้มากขึ้น และการอยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคมเป็นไปอย่างราบรื่น

4. เสริมแรงให้ลูก ‘ใจฟู’ ด้วยอ้อมกอด บอกรัก และคำชมเชย  

foundationchildlife_web_4

เมื่อทำครบทั้งสามอย่าง อ่าน-เล่น-ทำงานบ้าน ควรเสริมแรงให้ลูกด้วยพลังเชิงบวก ตามที่นายแพทย์ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ แนะนำ ดังนี้ตอนยังเป็นทารกให้นมแม่และอุ้ม โตขึ้นมาหน่อยให้กอดและบอกรักกันเป็นประจำ กอดกันเป็นประจำ นอนกับลูกก็ได้ ทำตัวติดกับลูกบ้าง หรือจะปล่อยให้ลูกทำตัวติดคุณแม่บ้าง ก็ไม่เป็นไร เพราะสิ่งเหล่านี้นี่คือต้นทุนชีวิต ที่ลูกจะได้ใช้ไปตลอดจนเติบใหญ่

อย่าลืมผลักดันพฤติกรรมที่ดีด้วยคำชมที่ทำให้ลูกใจฟู พฤติกรรมบางอย่างคุณพ่อคุณแม่ควรให้เวลา เพราะเมื่อพร้อม ลูกจะทำได้เอง เว้นแต่บางพฤติกรรมที่สร้างความเดือดร้อนให้กับคนอื่น คุณพ่อคุณแม่ห้ามปล่อยผ่าน แต่ต้องอบรม และถ้าจำเป็นก็ต้องทำโทษทันที

สุดท้ายคุณพ่อคุณแม่ต้องรักกันให้มากๆ และช่วยกันดูแลลูกไปในทิศทางเดียวกัน เมื่อรู้สึกว่าตัวเองเป็นที่รัก และดีพอสำหรับคุณพ่อคุณแม่ ลูกก็จะรักและเห็นคุณค่าในตัวเอง

เมื่อรวมกับการสร้างพื้นฐานชีวิตลูกด้วยการ อ่าน-เล่น-ทำงาน และเสริมแรงลูกให้ใจฟู ทั้งหมดจึงเป็นเสมือนเกราะป้องกันที่จะช่วยให้ลูกเติบโตอย่างแข็งแกร่งได้ต่อไปในอนาคต

อ้างอิง
นายแพทย์ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์
childmind.org
all4kids.org
healthychildren.org
fevermates.com

Saranya A.

ศรัญญา อ่าวสมบัติกุล: คุณแม่มือใหม่ ที่มีความตั้งใจเลี้ยงลูกชายตัวน้อยด้วยการยึดโยงธรรมชาติ และความคิดสร้างสรรค์เข้าด้วยกัน คุณแม่คนนี้หลงรักและทำงานด้านการเขียนมากว่า 12 ปี ตอนนี้มีความฝันอยากเป็นนักวาดนิทานเด็ก

COMMENTS ARE OFF THIS POST