คุณพ่อคุณแม่เคยได้ยินลูกน้อยบ่นว่าปวดหัว จนร้องไห้งอแงบ้างไหมคะ และแทบทุกครั้ง ลูกน้อยก็จะไม่สามารถอธิบายให้คุณพ่อคุณแม่เข้าใจลักษณะอาการและสาเหตุของอาการปวดหัวที่เกิดขึ้นได้
ปวดหัวแบบไม่รุนแรง และยังสามารถทำกิจวัตรประจำวันได้ปกติ
คุณพ่อคุณแม่ก็สามารถดูแลลูกได้ด้วยการสังเกตและเฝ้าติดตามอาการในเบื้องต้น ลองสังเกตรอบตัวลูกว่ามีสิ่งไหนที่กระตุ้นให้ลูกปวดหัวหรือไม่ เช่น เป็นไข้หรือไม่สบาย อากาศร้อนจัด เสียงดัง พักผ่อนไม่เพียงพอ
วิธีการดูแล: ให้ลูกกินยาแก้ปวด เช่น พาราเซตามอล และให้ลูกได้นอนพักผ่อนให้เต็มที่
มีอาการปวดหัวรุนแรง จนไม่สามารถใช้ชีวิตประจำวันปกติได้
คุณพ่อคุณแม่ไม่ควรนิ่งนอนใจ หรือให้ลูกกินยาแก้ปวดโดยไม่รู้สาเหตุที่แน่ชัด
วิธีการดูแล: ควรรีบพาลูกไปพบคุณหมอเพื่อตรวจหาสาเหตุต่อไป
อาการปวดหัว มีหลายลักษณะอาการ แบ่งได้ดังต่อไปนี้
ปวดหัวแบบเทนชัน (Tension Headache)
อาการคล้ายกับมีอะไรมากดหรือบีบบริเวณศีรษะตลอดเวลา อาจจะเป็นด้านหน้า ด้านหลัง หรือทั้งสองด้าน ซึ่งอาการปวดประเภทนี้จะไม่ค่อยรุนแรง แต่อาจกระทบต่อการนอนของลูกได้
ปวดหัวไมเกรน (Migraine)
อาการปวดหัวไมเกรนในเด็ก สามารถปวดแบบสองข้าง หรือข้างใดข้างหนึ่งก็ได้ หรือปวดสลับข้างไปมาก็ได้ และเวลาปวดบางครั้งอาจจะมีปวดร้าวที่กระบอกตาร่วมด้วย
นอกจากอาการนี้ ไมเกรนอาจมีอาการวิงเวียนศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน และจะปวดมากขึ้นเมื่ออยู่ในที่เสียงดัง หรืออยู่ในที่แสงสว่างจ้า
ปวดหัวคลัสเตอร์ (Cluster Headache)
พบได้น้อยในเด็กที่อายุกว่า 10 ปี มีอาการปวดแปลบๆ ปวดแสบปวดร้อน ปวดเหมือนมีอะไรกดทับศรีษะ หรืออาจปวดอย่างรุนแรงบริเวณด้านหลังดวงตาหรือกระบอกตาข้างใดข้างหนึ่ง
อาจเกิดมีอาการร่วมกับคัดจมูก น้ำมูกไหล รู้สึกกระสับกระส่าย ตาบวม และอาจเกิดขึ้นวันละหลายครั้ง หรือเป็นต่อเนื่องกันหลายวัน
COMMENTS ARE OFF THIS POST