สำหรับเด็กในยุคไทยแลนด์ 4.0 คุณพ่อคุณแม่รู้ดีว่าภาษาที่สองกลายเป็นเรื่องจำเป็น ส่วนภาษาที่สามนั้นก็เป็นสิ่งสำคัญที่หากเป็นไปได้ คุณพ่อคุณแม่ก็คงอยากวางรากฐานด้านภาษาที่สามให้กับลูกเช่นกัน
แต่จะมีสักกี่โรงเรียนนานาชาติที่มีหลักสูตรการเรียนการสอนทั้งภาษาอังกฤษ ควบคู่ไปกับภาษาไทย และภาษาญี่ปุ่น ได้อย่างโรงเรียน AIKB35 หรือย่อมาจาก Associe International Kindergarten Bangkok 35 หรือ AIKB35 โรงเรียนอนุบาลนานาชาติสัญชาติญี่ปุ่น ในย่านสุขุมวิท 35 แห่งนี้
ถึงแม้ว่า AIKB35 จะเป็นโรงเรียนอนุบาลน้องใหม่เพราะเพิ่งเปิดดำเนินการในประเทศไทย เข้าสู่ปีที่สอง แต่ คุณเอริโกะ วาดะ ผู้ก่อตั้งชาวญี่ปุ่นก็มีประสบการณ์การเปิดเนอร์เซอรีมากว่า 28 ปี และมีเนอร์เซอรี 25 แห่ง ทั่วโตเกียว
ทันทีที่ก้าวเข้ามาในรั้วโรงเรียน ความประทับใจแรกที่พวกเราได้เห็นก็คือ บรรยากาศรอบตัว ไม่ว่าจะเป็นเครื่องแบบนักเรียน หรือความเป็นระเบียบวินัยของเด็กๆ ที่ถอดรองเท้าวางไว้ในช่องรองเท้าของตัวเองอย่างเป็นระเบียบ จากนั้นก็เอารองเท้าสำหรับใส่ในโรงเรียนมาสวมแทน ก็ทำให้เรารู้สึกเหมือนหลุดเข้าไปในประเทศญี่ปุ่นได้ภายในเวลาไม่กี่วินาที
คุณครูของโรงเรียนบอกกับ M.O.M ว่า ช่วงแรกที่เด็กบางคนยังใส่รองเท้าเองไม่เป็น คุณครูจะมีวิธีการพูด ให้กำลังใจ ว่าหนูใส่เองได้ ลองดูนะ จนในที่สุดเมื่อเด็กๆ ได้รับกำลังใจ ความเชื่อมั่น และเห็นว่าเพื่อนทำได้ เขาก็ต้องทำได้เช่นกัน เด็กก็จะสามารถช่วยเหลือตัวเองได้ในเวลาอันรวดเร็ว ซึ่งวิธีการนี้หมายรวมไปถึงการทำกิจวัตรประจำวันอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น กินข้าว ถือกระเป๋า หรือล้างช้อมส้อมเอง เมื่อรับประทานอาหารเสร็จ
ดีไซเนอร์และสถาปนิกจากญี่ปุ่น
ความน่ารักน่าเอ็นดูของเครื่องแบบนักเรียนญี่ปุ่นก็ไม่เคยทำให้เราผิดหวังและสำหรับเครื่องแบบนักเรียนของโรงเรียนอนุบาลนานาชาติ AIKB35 แห่งนี้ ยังมาจากแบรนด์เสื้อผ้าชื่อดังของประเทศญี่ปุ่น อย่าง Kumikyoku ซึ่งมีการออกแบบและเลือกเนื้อผ้าสำหรับตัดเย็บ ตามสภาพอากาศในประเทศไทย
ภาพเด็กผู้หญิงสวมเสื้อสีขาวแขนสั้นมีแถบกรมท่าสองขีดใส่คู่กับโบว์และกระโปรงลายสก็อต ส่วนเด็กผู้ชายสวมเสื้อสีขาวแขนสั้นมีแถบกรมท่าสองขีด สวมไทด์และกางเกงลายสก็อต พร้อมสะพายกระเป๋าหนังสีน้ำตาลเดินเข้าโรงเรียนมาอย่างร่าเริง เป็นภาพที่เห็นแล้วเราอดยิ้มตามไม่ได้
ถัดเข้ามาภายในอาคารเรียนที่ได้รับการออกแบบและตกแต่งสไตล์ญี่ปุ่น โดยสถาปนิกญี่ปุ่น ก็ยิ่งทำให้สัมผัสได้ถึงบรรยากาศของประเทศญี่ปุ่น จนเราอยากจะพูดทักทายทุกคนออกไปว่า โอ-ฮา-โย โกะ-ไซ-มัส (สวัสดีตอนเช้า)
ชั้นวางรองเท้าที่คล้ายกับบ้านของเล่นตั้งอยู่ขนาบประตูทางเข้าด้านซ้ายและด้านขวาอย่างละจุด ภายในมีรองเท้าวางอย่างเป็นระเบียบ ถัดไปจากชั้นวางรองเท้าไม่ไกล เราพบกับกำแพงปีนเขาสีสันสวยงามสะดุดตา ที่รอให้เด็กๆ มาปีนเล่นอย่างสนุกสนาน
จากบันไดชั้นหนึ่งขึ้นไปชั้นสอง มีสไลเดอร์ขนาดใหญ่ ตั้งอยู่ขนาบข้างบันไดทางขึ้น จึงเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ท้าทายสำหรับเด็กๆ ในการลงจากชั้นสองมายังชั้นหนึ่งแบบไม่ธรรมดา
เมื่อเดินขึ้นไปชั้นสอง ก็พบกับสะพานเชือกและพื้นกระจกใสที่สามารถมองจากชั้นสองลงมาชั้นหนึ่ง พร้อมกับของเล่นขนาดใหญ่มากมายอยู่ภายในตัวอาคาร สร้างความประทับใจและแปลกใจให้กับเราเป็นอย่างมาก
คุณครูจัน—จันทนา วัฒนชัย คุณครูใหญ่ประจำโรงเรียนอนุบาลนานาชาติแอสโซซิเอะกรุงเทพฯ 35 บอกกับพวกเราอย่างอารมณ์ดีว่า “ประเทศไทยฝนตกบ่อย บางเดือนฝนก็ตกตลอดทั้งเดือน ถ้ามีแต่ของเล่นด้านนอกอาคารเรียนอย่างเดียว เวลาฝนตกเด็กก็จะไม่มีที่เล่น ซึ่งวัยของเด็ก การเล่นก็คือการเรียนรู้อย่างหนึ่ง และของเล่นทุกอย่างของโรงเรียน ถูกออกแบบมาเพื่อส่งเสริมอารมณ์ สังคม และสติปัญญา อย่างกำแพงปีนเขา ช่วยส่งเสริมกล้ามเนื้อมัดใหญ่ การผจญภัย และเรียนรู้เรื่องสี ส่วนสะพานเชือกบริเวณชั้นสอง ทำให้เกิดมุมมองที่หลากหลาย กระตุ้นจินตนาการ และกระจกที่สามารถมองจากชั้นสองลงมาชั้นหนึ่งได้ ทำให้เกิดความสนใจใฝ่รู้ และสังเกตุสิ่งต่างๆ รอบตัว”
จริงอย่างที่คุณครูใหญ่ว่า เพราะไม่เพียงแต่ของเล่นภายในอาคารเรียนเท่านั้น แต่ยังมีพื้นที่สีเขียวด้านนอกอาคาร อย่างสไลเดอร์หลากหลายรูปทรงให้เด็กๆ ได้ปีนป่าย และทุกวันพฤหัสฯ ที่โรงเรียนก็จะมีวิชาว่ายน้ำ ให้เด็กๆ ได้เรียนรู้และเล่นสนุกกันอย่างเต็มที่
หลักสูตร Japanese Program และ International Program
คงจะดีไม่น้อย ถ้าเด็กๆ ไม่ต้องหมกตัวอยู่กับตำราเรียนทั้งวัน แต่ได้พูดคุยกับคุณครูและเพื่อนในห้องเพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์และความรู้ไปพร้อมกัน เพราะหลักสูตร Japanese Program และ International Program เป็นหลักสูตรที่เน้นการพูดคุยด้วยการตั้งหัวข้อสนทนา และในหนึ่งหัวข้อสนทนานั้น คุณครูจะประยุกต์เนื้อหาหลากหลายวิชาเข้าไว้ด้วยกัน เช่น สอนเรื่องการปลูกดอกไม้ เด็กก็เหมือนได้ความรู้วิชาวิทยาศาสตร์ไปด้วย ในขณะเดียวกันก็สอนให้ร้องเพลงเกี่ยวกับดอกไม้ เด็กก็จะได้ความรู้วิชาดนตรีไปด้วย และสอนให้นับดอกไม้ เด็กก็จะได้ความรู้วิชาคณิตศาสตร์ไปด้วย ดังนั้นการเรียนทั้งสองหลักสูตร สอนให้เด็กมองเห็นภาพและพูดคุย มากกว่าท่องจำจากตำราเรียน
ในหนึ่งห้องเรียนมีเด็กนักเรียน 20 คน ต่อคุณครูเจ้าของภาษาสามคน ก็คือคุณครูคนไทย คุณครูญี่ปุ่น และคุณครูชาวอังกฤษ
ความแตกต่างระหว่าง หลักสูตร Japanese Program และ International Program ก็คือ บทสนทนาหรือภาษาที่คุณครูใช้พูดคุยกับนักเรียนในห้องเรียน ดังนี้
หลักสูตร Japanese Program เป็นหลักสูตรสามภาษา ได้แก่ ภาษาอังกฤษ 50% ภาษาณี่ปุ่น 40% และภาษาไทย 10%
หลักสูตร International Program เป็นหลักสูตรสองภาษา ได้แก่ ภาษาอังกฤษ 80% และภาษาไทย 20% แต่คุณพ่อคุณแม่สามารถเลือกภาษาญี่ปุ่นให้เป็นภาษาที่สามของลูกได้ โดยจะมีการเรียนภาษาญี่ปุ่นหนึ่งครั้งต่อสัปดาห์
ห้องครัวกระจกใสและพ่อครัวระดับโรงแรม
ช่วงเวลาที่เด็กๆ มีความสุขที่สุดก็คือ เวลาที่ได้กินอาหารอร่อยร่วมกับเพื่อนๆ เพราะ โรงเรียน AIKB35 ใส่ใจและให้ความสำคัญกับคุณภาพของอาหารมาก ตั้งแต่ขั้นตอนการเตรียมอาหาร ซึ่งจัดทำกันในห้องครัวที่มีกระจกใสเปิดให้เห็นทุกขั้นตอนการปรุงอาหารสำหรับเด็กๆ รับผิดชอบอาหารโดยพ่อครัวชาวญี่ปุ่น ที่มีประสบการณ์ทำอาหารระดับโรงแรมมาก่อน
ดังนั้นคุณพ่อคุณแม่และลูก จะสามารถเห็นทุกกระบวนการเตรียมอาหาร ได้ตั้งแต่วันแรกที่เข้ามาเยี่ยมชมโรงเรียน
ความน่ารักอีกอย่างก็คือ เวลาที่เด็กๆ เดินผ่านห้องครัว พวกเขาก็จะโบกมือทักทายพ่อครัว และเฝ้ามองว่าวันนี้พ่อครัวจะทำอาหารอะไรให้รับประทาน
ที่หน้าห้องครัวจะมีรายการอาหารในแต่ละวันติดบอกไว้ล่วงหน้าตลอดทั้งเดือนโดยมีการหมุนเวียนเป็นอาหารสัญชาติต่างๆ ดังนี้ วันจันทร์เป็นอาหารไทย วันอังคารกับวันพุธเป็นอาหารญี่ปุ่น วันพฤหัสเป็นอาหารจีน และวันศุกร์เป็นอาหารตะวันตก แต่ไม่ว่าจะเป็นอาหารสัญชาติไหน ทุกมื้อก็มีการจะกำหนดแคลอรี่ให้เหมาะสมตามวัยของเด็กๆ ด้วย
ส่วนในช่วงเทศกาลสำคัญต่างๆ ก็จะมีอาหารตามเทศกาลด้วย เช่น เมื่อวันลอยกระทงที่ผ่านมา พ่อครัวก็จะออกแบบอาหารให้มีลักษณะเหมือนกระทง ทำให้เด็กๆ ตื่นตาตื่นใจมากขึ้นไปอีก
และถ้าเด็กๆ อยากลองเข้าครัวทำอาหารด้วยตัวเอง โรงเรียนก็มีห้องครัวสำหรับเด็ก ที่ภายในห้องถูกออกแบบเป็นพื้นต่างระดับ เพื่อให้คุณครูและเด็กจะได้มองเห็นในระดับสายตาเดียวกัน
สุขอนามัยตามมาตรฐาน Japan standard
ตลอดเวลาที่เดินเยี่ยมชมโรงเรียน AIKB35 เราจะเห็นอ่างล้างมือได้ตามทุกมุมตึก แม้กระทั่งในห้องเรียน เพราะเมื่อถึงเวลาก่อนและหลังรับประทานอาหาร หรือหลังทำกิจกรรมต่างๆ เสร็จเรียบร้อย เด็กๆ ก็จะเดินมาล้างมือกันโดยไม่ต้องบังคับขู่เข็ญ
เพราะคุณครูฝึกให้เด็กดูแลตัวเอง ในกระเป๋าเสื้อของเด็กทุกคนจึงมีของ 3 สิ่งพกติดตัวไว้ตลอด นั่นก็คือ ผ้าเล็กๆ สองผืน และทิชชู่ ผ้าผืนหนึ่งเอาไว้เช็ดมือ ผ้าอีกผืนเอาไว้เช็ดปาก ส่วนทิชชู่เอาไว้เช็ดน้ำมูก
นอกจากการดูแลตัวเองได้แล้ว โรงเรียนยังให้ความสำคัญกับการมอบหมายหน้าที่เพราะถือว่าเป็นการสร้างความรับผิดชอบให้กับเด็กๆ เช่น การให้เด็ก K2 (อนุบาลสอง) และ K3 (อนุบาลสาม) ช่วยกันทำความสะอาดห้องเรียน ดูแลล็อกเกอร์สำหรับใส่กระเป๋าและของใช้ส่วนตัวของตัวเอง พอถึงวันศุกร์ เด็กๆ จะเอารองเท้าสำหรับใส่ในโรงเรียนและของใช้กลับบ้านเพื่อไปทำความสะอาด และวันจันทร์ก็จะนำของใช้มาที่โรงเรียนอีกครั้ง
ความหลากหลายของเชื้อชาติ
ถึงแม้ว่าจะเป็นโรงเรียนสไตล์ญี่ปุ่น แต่โรงเรียนก็เปิดรับเด็กทุกเชื้อชาติ จึงไม่
แปลก ถ้าเราจะได้เห็นเด็กไทยเป็นเพื่อนกับเด็กญี่ปุ่น หรือเด็กญี่ปุ่นเป็นเพื่อนกับเด็กฝรั่ง เพราะโรงเรียนสนับสนุนให้เด็กทุกเชื้อชาติเป็นเพื่อนกัน รับประทานอาหาร และทำกิจกรรมต่างๆ ร่วมกัน
ดังนั้นการตกแต่งสีรั้วและสีตึกหลากหลายสีสัน คุณครูใหญ่บอกกับเราว่า “การตกแต่งหลากหลายสีสันแบบนี้ ต้องการสื่อว่า โรงเรียนเปิดรับเด็กทุกเชื้อชาติ และโรงเรียนไม่ได้มองว่าเด็กเป็นนักเรียน แต่มองว่าเป็นมนุษย์คนหนึ่งที่อยู่ในขั้นเรียนรู้”
ทุกวันศุกร์ เด็กหลายเชื้อชาติจะมาร้องเพลงชาติไทยไปด้วยกัน ซึ่งเป็นภาพที่น่ารักและน่าประทับใจ
นอกจากนี้โรงเรียนยังมีกิจกรรมให้เด็กทุกชาติทำร่วมกันทั้งในเทศกาลของไทย เทศกาลของญี่ปุ่น หรือเทศกาลทางฝั่งตะวันตก ยกตัวอย่างเทศกาลลอยกระทงที่เพิ่งผ่านไปไม่นาน M.O.M ได้เห็นโรงเรียนมีการตกแต่งด้วยธงหลากหลายสีสัน ที่กำแพงมีรูปกระทงขนาดใหญ่ พร้อมข้อความ ‘วันลอยกระทง’ ซึ่งเป็นหนึ่งในวิธีการทำให้เด็กเรียนรู้วัฒนธรรมประเพณีที่หลากหลาย
ความปลอดภัยต้องมาเป็นอันดับแรก
โรงเรียนถือว่า ความปลอดภัยของเด็กเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด ดังนั้นประตูห้องเรียนทุกห้องจะมีลักษณะเป็นประตูสไลด์ ที่จะปรับความเร็วให้ช้าลงก่อนที่ประตูจะปิด และมีช่องเว้าตามความสูงของเด็ก เพื่อป้องกันไม่ให้เด็กโดนประตูหนีบ
ส่วนรถโรงเรียนทุกคันจะติด GPS เพื่อบอกพิกัดของรถโรงเรียนมีระบบจะเชื่อมต่อกับแอปพลิเคชั่น ซึ่งคุณพ่อคุณแม่สามารถตรวจสอบได้ตลอดเส้นทาง จนกว่าลูกจะถึงบ้านเลยทีเดียว
COMMENTS ARE OFF THIS POST