READING

บ้านกางใจ Co-learning space พื้นที่ที่จะทำให้หัวใจ...

บ้านกางใจ Co-learning space พื้นที่ที่จะทำให้หัวใจของเด็กกว้างใหญ่และพองโต

บ้านกางใจ Co-learning space

บ้านกางใจ เป็นพื้นที่การเรียนรู้ที่ซ่อนตัวอยู่ในหมู่บ้านยูนิวิลล่า ย่านบางคอแหลม ถึงแม้จะมีพื้นที่ไม่ใหญ่มากนัก แต่ก็พอเหมาะพอดีกับมวลความสุขของเด็กๆ ที่มีแต่รอยยิ้มและเสียงหัวเราะตลอดช่วงเวลาที่อยู่ในพื้นที่แห่งนี้

เรามีนัดพูดคุยกับ ครูไนซ์–กะวิตา พุฒแดง จากผู้ทำงานในแวดวงการศึกษา ที่วันหนึ่งตัดสินใจเปิดพื้นที่ บ้านกางใจแห่งนี้ขึ้นด้วยความรักที่มีให้เด็กๆ อย่างเต็มหัวใจ

“ตอนที่เป็นครูแรกๆ เรารู้สึกว่าอยากทำงานกับเด็กๆ อยากให้เด็กๆ รัก เพราะว่าเรารักเด็ก มันทำให้เห็นว่าตัวเราใหญ่มาก อยากอยู่ตรงกลางหัวใจของเด็กๆ สุดท้ายแล้วประสบการณ์มันค่อยๆ สอนว่า พออยู่ในบทบาทของครู สิ่งสำคัญคือต้องดึงศักยภาพของเด็กออกมา”

จุดเริ่มต้นของบ้านกางใจ

ช่วงวัยรุ่นเราก็มีโอกาสได้ไปฝึกงานเกี่ยวกับนิตยสาร แล้วเราก็ได้ทำเกี่ยวกับหนังสือนิทาน มันเลยทำให้เราเห็นช่วงเวลามหัศจรรย์ผ่านนิทานที่สื่อสารกับเรา หลังจากนั้นก็เลยตัดสินใจไปทำงานที่โรงเรียนอนุบาล เพราะว่าอยากทำสิ่งที่ตัวเองชอบ นั่นก็คือการอยู่กับเด็กและนิทาน

ระหว่างที่ทำงานในโรงเรียนสายทางเลือก ก็ศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Learning Science and Education คือการออกแบบการเรียนรู้ให้ตรงกับผู้เรียน ซึ่งผู้เรียนที่เราถนัดก็คือเด็ก ทำงานมาได้ 6 ปี ก็รู้สึกว่าอิ่มตัวกับงานในโรงเรียนแล้ว อยากมาเปิดพื้นที่โรงเรียนของตัวเอง ระหว่างเรียนปริญญาโท ก็เริ่มมีการศึกษาเกี่ยวกับ Play Therapy หรือการเล่นบำบัด ควบคู่ไปด้วย ที่ช่วยให้เด็กๆ สื่อสารความเครียดและความกดดัน ของตัวเองออกมาผ่านรูปแบบของการเล่น

เรารู้สึกว่าเราอยากทำพื้นที่การเรียนรู้ให้เด็กได้เป็นตัวเอง เพราะเด็กถูกชักใยเป็นหุ่นยนต์เยอะ แล้วมันยังขาดพื้นที่ที่เด็กจะเป็นอะไรก็ได้

ตอนที่เป็นครูแรกๆ เรารู้สึกว่าอยากทำงานกับเด็กๆ อยากให้เด็กๆ รัก เพราะว่าเรารักเด็ก มันทำให้เห็นว่าตัวเราใหญ่มาก อยากอยู่ตรงกลางหัวใจของเด็กๆ สุดท้ายแล้วประสบการณ์มันค่อยๆ สอนว่า พออยู่ในบทบาทของครู สิ่งสำคัญคือต้องดึงศักยภาพของเด็กออกมา เราต้องลดอีโก้ของตัวเองลง เลยเข้าใจว่า ไม่ต้องอยู่ตรงกลางหัวใจก็ได้ แต่เราค่อยๆ กางหัวใจของเด็กออกมา ค่อยๆ ทำงานให้หัวใจของเด็กกว้างขึ้น ก็เลยเป็นที่มาของบ้านกางใจ

หลักสูตรที่เน้นความเป็นมนุษย์และเคารพตนเอง

บ้านกางใจได้แรงบันดาลใจมาจากการศึกษาแนววอลดอร์ฟ แต่ว่าไม่ได้ใช้ทุกกระบวนการของวอลดอร์ฟทั้งหมด เรามีการดึงของเล่นจากมอนเตสเซอรี และ play therapy ด้วย มันเลยทำให้เรารู้สึกว่าการจะทำให้เด็กคนนึงมีทักษะ อาจจะต้องดึงหลายๆ ด้านที่เด่นของแต่ละแนวมาผสมกัน ส่วนตัวเราจะถนัดการคุยกับเด็กเป็นรายบุคคล เพราะเด็กสองขวบเหมือนกัน มาพร้อมกัน เกิดวันเดียวกัน หรือแม้กระทั่งฝาแฝด แต่สุดท้ายเด็กแต่ละคนก็จะไม่เหมือนกันอย่างที่เราทำกันวันนี้ กิจกรรมทุกอย่างจะอยู่ในธีมทะเล  กิจกรรมแรกของวันนี้คือ การระบายสีน้ำบนกระดาษเปียก จะทำให้เด็กใจเย็นและได้อยู่กับตัวเอง ก่อนระบายก็เอากระดาษไปอาบน้ำก่อนหรือการทำให้กระดาษเปียก หลังจากนั้นก็เอาสีน้ำมาระบายลงบนกระดาษเปียก เด็กบางคนยังสื่อสารไม่ค่อยเก่งว่าเขารู้สึกอะไร ต้องการอะไร บางครั้งการระบายสี มันอาจจะทำงานกับใจเขาได้

มีเด็กโตบางคนที่มาจากโรงเรียนวิชาการ เขาจะชอบถามเพื่อเอาคำตอบแต่ที่นี่จะฝึกให้เขามี critical thinking คือมีความคิดสร้างสรรค์ และสามารถคิดวิเคราะห์ด้วยตัวเองได้ ถ้าเขาอยากได้คำตอบ เราจะชวนเขาค้นหาคำตอบด้วยตัวเอง

และอีกสิ่งที่เราให้ความสำคัญก็คือ self esteem หรือการเคารพตัวเอง เพราะคนที่โตไปเป็นผู้ใหญ่ที่ขาดความเคารพตัวเอง เมื่อเกิดปัญหาแล้วเขาอาจจะอยากทำร้ายตัวเอง หรืออยากฆ่าตัวตายไปเลยก็ได้

ดังนั้น ถ้าถามว่าบ้านกางใจใช้หลักสูตรอะไรกับเด็กๆ หนึ่ง–สอนความเป็นมนุษย์ สอง–สอนให้เด็กเคารพตัวเอง และสาม–สอนการคิดอย่างเป็นระบบ

การแบ่งชั้นแบบคละอายุจะช่วยให้เด็กเรียนรู้ความมนุษย์ได้หลากหลาย

ด้วยความที่สอนโรงเรียนสายทางเลือกมาหลายที่ ทำให้เราหลงเสน่ห์การเรียนรู้ในชั้นเรียนแบบคละอายุ ซึ่งเป็นรูปแบบการเรียนรู้ของทั้งวอลดอร์ฟและมอนเตสเซอรี ที่จะทำให้เด็กได้เห็นความเป็นมนุษย์ที่หลากหลาย โดยที่เราไม่ต้องเข้าไปคอยสอนตลอดเวลา เช่น พี่โตเห็นน้องเล็กร้องไห้ เขาก็จะดึงความอ่อนโยนออกมาที่จะช่วยดูแลน้อง น้องบางคนยังติดกระดุมเสื้อเองไม่ได้ พอเขาได้เห็นพี่ถอดและใส่เสื้อคล่องแคล่ว เขาก็อยากเลียนแบบพี่ ก็จะเกิดการเรียนรู้เหมือนได้อยู่ในสังคมจริงๆ เพราะว่าในโลกใบใหญ่ก็ไม่มีทางที่จะได้อยู่กับคนในวัยเดียวกันตลอดเวลา

ใช้พลังของนิทาน ปรับและเสริมพฤติกรรมของเด็ก

เราหลงใหลการใช้นิทานภาพเพื่อปรับหรือเสริมพฤติกรรมเด็กรายบุคคล หมายความว่าเด็กที่มาทุกคนที่นี่ จะมีการสัมภาษณ์คุณพ่อคุณแม่ก่อน เพื่อจะได้รู้ว่าเขากังวลเรื่องอะไรอยู่ เช่น เด็กบางคนฉี่รดที่นอนในกลางคืน เด็กบางคนนอนกัดฟัน เด็กบางคนอยากกินนมแม่ตลอดเวลา เราก็จะเอาโจทย์นั้นมาเลือกนิทานที่จะสื่อสารกับเด็กๆ โดยไม่ทำให้เขารู้สึกว่าคุณครูรู้ความลับของเขา

เราเลือกใช้นิทานภาพ และไม่ยึดติดกับตัวอักษร เพราะสุดท้าย เมื่อเด็กอ่านนิทานภาพได้ด้วยตัวเอง เขาก็จะอ่านโลกใบนี้ได้เยอะขึ้น แล้วก็จะมี critical thinking ที่แข็งแรงขึ้น

การใช้นิทานเป็นเหมือนการจำลองโลกกว้างลงมาเป็นภาพที่เด็กๆ มองเห็น บางครั้งที่เราจะพูดเรื่องการใช้กฎกติกา เด็กเขายังไม่เห็นภาพใหญ่เหมือนกับที่เราผ่านกันมา แต่ว่าพอมีตัวละครจิ๋วคอยเดินเรื่องให้ เขาก็จะเห็นสิ่งที่เราอยากสื่อสารเป็นรูปธรรมชัดเจนขึ้น แล้วการเล่านิทาน ก็ช่วยให้เด็กเรียนรู้ภาษาอย่างเป็นธรรมชาติ ทำให้เขามีทักษะสังคมดีขึ้น เพราะเขามีคลังคำศัพท์มากพอ

คนส่วนใหญ่มักมองว่า นิทานหมาะสำหรับเด็กอนุบาล แต่จริงๆ แล้วนิทานสามารถสื่อสารกับคนได้ทุกช่วงอายุ ไม่ว่าจะเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่ เราเชื่อว่านิทานมีพลังมากพอที่จะช่วยเหลือเด็กและปรับพฤติกรรมเด็กๆ ได้โดยไม่ทำให้เขาเกิดแผลในใจ

“และความจริงแล้ว เด็กเข้าใจไม่ยาก ถ้าเราพร้อมจะทำความเข้าใจ หลายครั้งที่เด็กมีแสงสว่างในตัวเองเยอะมาก แต่คุณพ่อคุณแม่ให้ความสำคัญกับบางประเด็นที่สังคมเชิดชูมากกว่า เช่น อยากให้ลูกอ่านออกเขียนได้เร็ว ทำให้แสงสว่างที่เขามี มันหรี่ลง จนเขาต้องพยายามสร้างแสงใหม่ที่ไม่ใช่ตัวตนของเขา”

การทำงานร่วมกันระหว่าง ‘บ้านกางใจ’ กับ ‘ครอบครัว’

ที่นี่เราไม่ได้ทำงานหนักกับเด็กเพียงอย่างเดียว แต่เราทำงานกับพ่อแม่ ด้วย เพราะถ้าพ่อแม่มีรากไม่มั่นคง ไม่ว่าลูกจะพร้อมสำหรับการเติบโตแค่ไหน สุดท้ายเงาของพ่อแม่ก็อาจหล่นลงมาทับลูกอีกทีที่นี่ก็เหมือนพาคุณพ่อคุณแม่กลับมาตั้งหลัก  ให้ความรู้สึกเหมือนเป็นเพื่อนใจ แล้วก็เดินไปด้วยกัน เพราะสุดท้าย แต่ละวัน เด็กอยู่กับครูถึงแค่บ่ายสอง ช่วงเวลาที่เหลือคุณพ่อคุณแม่ต้องเป็นคนพาเขาไปต่อ

เราเชื่อว่าเด็กทุกคนมีศักยภาพในการเรียนรู้ ถ้าเขาได้มีโอกาสเป็นตัวเองมากพอในพื้นที่ที่เหมาะสม เด็กก็จะอยากเรียนรู้และพัฒนาตนเอง บ้านกางใจเลยเปรียบเสมือนเป็นฟันเฟืองเล็กๆ ที่ทำหน้าที่ร่วมกันกับครอบครัวของเด็กๆ เพื่อให้เขาได้มีความสุขกับการเล่น การเรียนรู้ และมีหัวใจที่มั่นคง พร้อมเผชิญโลกกว้างที่อาจจะโหดร้ายกว่าตอนเขายังเล็ก

และความจริงแล้ว เด็กเข้าใจไม่ยาก ถ้าเราพร้อมจะทำความเข้าใจ หลายครั้งที่เด็กมีแสงสว่างในตัวเองเยอะมาก แต่คุณพ่อคุณแม่ให้ความสำคัญกับบางประเด็นที่สังคมเชิดชูมากกว่า เช่น อยากให้ลูกอ่านออกเขียนได้เร็ว ทำให้แสงสว่างที่เขามี มันหรี่ลง จนเขาต้องพยายามสร้างแสงใหม่ที่ไม่ใช่ตัวตนของเขา เราเลยรู้สึกว่า อยากชวนคุณพ่อคุณแม่มานั่งพัก มานั่งดูว่าลูกมีความสุขกับการทำอะไรจริงๆ แล้วช่วยกันหล่อเลี้ยงแสงนั้นให้สว่างต่อไป เด็กๆ ก็จะได้สนุกกับการทักทายโลกใบนี้ยิ่งขึ้น

“พื้นที่การเรียนรู้ในไทยไม่ค่อยซัปพอร์ตให้เด็กเป็นตัวเอง หลายครั้งที่คาดหวังให้เด็กเป็นแบบนั้นแบบนี้ คาดหวังให้เด็กสอบติดโรงเรียนชื่อดัง สุดท้ายการเป็นเด็ก มันเลยขาดหายไป”

คุณครูคือหัวใจสำคัญในการหล่อเลี้ยงความอยากเรียนรู้อย่างเป็นธรรมชาติ

คุณครูที่นี่จะโฟกัสเรื่องความเป็นมนุษย์ ถ้าวิชาการแน่น แต่ว่าสื่อสารแล้วขาดความเป็นมนุษย์ เราไม่ทำงานด้วยนะ (หัวเราะ) เพราะเด็กๆ อยู่กับวัตถุมาเยอะมากพอแล้ว ที่นี่ก็เลยจะโฟกัสให้เด็กกลับมาเป็นมนุษย์ มีความรู้สึก มีความต้องการ ปฏิเสธได้ บอกรักเป็น คุณครูที่นี่จะตอบสนองกับเด็กเหมือนเป็นเพื่อนวัยจิ๋ว ไม่ได้ใช้ความเป็นผู้ใหญ่เข้าหา และจะพยายามดึงศักยภาพเด็กออกมาให้ได้มากที่สุด แต่สุดท้ายเด็กก็ยังเป็นตัวเองอยู่

พื้นที่การเรียนรู้ในไทยไม่ค่อยซัปพอร์ตให้เด็กเป็นตัวเอง หลายครั้งที่คาดหวังให้เด็กเป็นแบบนั้นแบบนี้ คาดหวังให้เด็กสอบติดโรงเรียนชื่อดัง สุดท้ายการเป็นเด็ก มันเลยขาดหายไป

บ้านกางใจ เรียกตัวเองว่า ‘พื้นที่การเรียนรู้’ แทนที่คำว่าโรงเรียน

ที่นี่เลือกใช้คำว่า Co-learning space เเทนคำว่า โรงเรียน เพราะเราไม่ได้มาเรียนจริงๆ เพราะพวกเราตั้งใจตื่นมาเล่น เล่นจนเด็กๆ เกิดการเรียนรู้เเละความเข้าใจเรื่องต่างๆ ด้วยตนเอง เช่น การเรียนรู้ภาษา การเข้าสังคม การช่วยเหลือตัวเอง และสร้างเด็กให้เติบโตอย่างแข็งแรงที่สุดเท่าที่จะทำได้

นอกจากนี้ คุณพ่อคุณเเม่เองก็เป็นกำลังเสริมสำคัญ ในการช่วยเหลือเด็กๆ ต่อยอดการเล่น การเรียนรู้ให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

ก่อนจบภารกิจในวันนี้ อีกหนึ่งสิ่งที่เราสัมผัสได้อยู่ตลอดเวลาที่ได้พูดคุยกับคุณครูไนซ์ ก็คือใบหน้าที่เปื้อนรอยยิ้มและแววตาที่เป็นประกายแห่งความสุขทุกครั้งที่พูดถึงเด็กๆ

นั่นทำให้เราเชื่อเหลือเกินว่า การได้ทำและอยู่กับสิ่งที่รัก น่าจะเป็นนิยามของคำว่า ‘ความสุข’ ในชีวิตได้ดีที่สุด

บ้านกางใจ Early Learning and Child – Family Development Center
รับนักเรียนตั้งแต่อายุ: 2-6 ขวบ
ค่าธรรมเนียมการศึกษา
รายวัน 1,500 บาท
รายเดือน 20,000 บาท
รายเทอม (3เดือน) 55,500 บาท
ค่าแรกเข้า 8,000 บาท (ชำระครั้งเดียว)
ที่อยู่: หมู่บ้านยูนิวิลล่า 1 ซอย 9 บ้านเลขที่ 98 เขตบางคอแหลม กรุงเทพฯ
เบอร์ติดต่อ: 082-442-5292
website: baankangjai
facebook: baankangjai

Supinya R.

ชอบอ่านนิยายสยองขวัญ ชอบเขียนไดอารี่ และเป็นคุณแม่จำเป็นในบางเวลา :-)

COMMENTS ARE OFF THIS POST