READING

คุยกับคุณแม่ไทยในต่างประเทศ ที่ไหนรับมือ #COVID19 ...

คุยกับคุณแม่ไทยในต่างประเทศ ที่ไหนรับมือ #COVID19 อย่างไรกันบ้าง (เนเธอร์แลนด์)

วิกฤตการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ทำให้คุณพ่อคุณแม่แทบจะทั่วโลก ต่างต้องเผชิญสถานการณ์เดียวกัน คือ ลูกออกไปโรงเรียนไม่ได้ ตัวเองก็ออกไปทำงานก็ไม่ได้ เหตุการณ์ครั้งนี้ น่าจะทำให้พ่อแม่ทั่วโลกมีความรู้สึกร่วมกันคือ เงินก็ต้องหา งานก็ต้องทำ โรคก็ต้องหวั่นใจ เรื่องลูกก็ต้องรับมือ มีใครให้มากกว่านี้อีกไหม

M.O.M จึงไปลองถามไถ่คุณแม่ชาวไทยในประเทศต่างๆ ว่าเป็นอย่างไรกันบ้าง หนักหน่วงแค่ไหน รับมือไหวหรือเปล่า และได้รับความช่วยเหลือดูแลจากประเทศนั้นๆ อย่างไร เด็กๆ ได้รับผลกระทบแค่ไหน และที่สำคัญก็คือ คุณแม่ยังไหวไหม บอกมา…

และไม่ว่าจะอยู่มุมไหนของโลก M.O.M ก็ขอส่งกำลังใจให้คุณพ่อคุณแม่ทุกบ้าน มีเรี่ยวแรงที่จะรับมือกับทุกปัญหาที่เข้ามา มีพลังมากมายในการดูแลเด็กๆ และรักษาสุขภาพให้แข็งแรง เพื่อให้พวกเราทุกคนผ่านพ้นช่วงเวลาที่ยากลำบากแบบนี้ไปได้อย่างปลอดภัยทุกบ้านเลยค่ะ

อาเมอร์สฟอร์ท, เนเธอร์แลนด์ 

แม่ไอซ์

น้องเมส 3 ขวบ น้องมีญา 11 เดือน

Q: สถานการณ์ตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง

รัฐบาลออกคำสั่งให้ทุกคน work from home  ร้านค้า ให้เปิดเฉพาะร้านขายยาและซูเปอร์มาร์เก็ต ส่วนโรงเรียนปิดมาได้ 3 สัปดาห์แล้ว และสั่งให้ปิดต่อไปอีก 4 สี่ ระบบขนส่งสาธารณะยังมีอยู่แต่ลดจำนวนลง สรุปก็คือยังไม่ได้ล็อกดาวน์ยังไม่ห้ามผู้คนออกนอกบ้าน เพียงแต่ขอความร่วมมือให้ออกเฉพาะเท่าที่จำเป็น เช่นไปซื้อของเข้าบ้าน และขอให้ไปกันแค่ครอบครัวละคน และเว้นระยะห่างจากกัน 1.5 เมตร ห้ามการชุมนมกันมากกว่าสองคน (เฉพาะผู้ใหญ่) หากฝ่าฝืนจะโดนปรับประมาณ 400 ยูโร หรือประมาณ 16,000 บาท นี่คือจากคำแถลงการณ์ล่าสุดของรัฐ

ที่นี้พอมาสังเกตการปฏิบัติตัวของประชาชนทั่วไป เราว่าก็ยังคงมีความสบายอยู่ระดับนึงเลย เพราะแต่ละครั้งที่นายกออกมาแถลงการณ์ เขาจะพยายามหลีกเลี่ยงการใช้คำว่า ‘บังคับ’ แต่ใช้คำว่า ‘แนะนำ’ และ ‘ขอความร่วมมือ’ เป็นส่วนใหญ่ โดยที่นายกฯ จะพูดเสมอว่า เราคือประเทศแห่งความเสรีภาพ นโยบายต่างๆ จึงยังต้องเคารพเสรีภาพส่วนบุคคลมากที่สุด ก็เลยต้องอาศัยจิตสำนึกของทุกคนที่พวกเราเชื่อว่าพวกเรามี เหมือนปลุกใจด้วยความไว้เนื้อเชื่อใจ ซึ่งก็ได้ผลในระดับนึง

อีกเรื่องที่น่าสนใจคือ รัฐบาลก็ไม่สนับสนุนให้คนทั่วไปใส่หน้ากากอนามัย แถมยังให้เหตุผลว่ามันไม่ได้ช่วยลดการติดต่อ เรากับสามีคิดกันเอาเองส่วนตัวว่าอาจเป็นเพราะรัฐกลัวคนกักตุนหน้ากากแล้วบุคลากรที่จำเป็นต้องใช้จริงๆ จะขาดแคลน เพราะเนเธอร์แลนด์ต้องนำเข้าสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด ดังนั้นผู้คนก็เชื่อฟังรัฐและไม่ใส่หน้ากากอนามัยกัน

ส่วนครอบครัวเรา มีความระแวดระวังเกินคำสั่งของรัฐอยู่ประมาณนึง อาจเป็นเพราะเราเป็นคนไทย เสพข่าวจากฝั่งเอเชียบ้านเรามาตั้งแต่เริ่มระบาดในอู่ฮั่น และสามีเราก็เป็นมนุษย์ที่ take precautions กับทุกสิ่งในชีวิตอยู่แล้ว (ฮา) ก็เลยตกลงกันตั้งแต่ที่โควิดเริ่มระบาดในเอเชียว่า เราจะเริ่มตุนของที่เราต้องกินต้องใช้ โดยค่อยๆ ซื้อทุกครั้งที่ไปร้าน เช่น ถ้าปกติซื้อพาสต้าหนึ่งห่อ เราก็จะหยิบสองห่อ นี่คือเริ่มทำตั้งแต่ช่วงปลายเดือนมกรา แล้วก็คุยกันว่าจะให้ลูกคนโตหยุดโรงเรียนเอง ถ้าสถานการณ์ในยุโรปไม่ดีแม้ว่ารัฐจะไม่ประกาศปิดโรงเรียนก็ตาม

พอโควิดเริ่มระบาดที่อิตาลีซึ่งเป็นช่วงที่โรงเรียนปิดหนึ่งสัปดาห์พอดี ก็เลยคุยกันว่าต้องมีคนดัตช์จำนวนหนึ่งไปเที่ยวอิตาลีช่วงนั้น เราก็เพราะตอนนั้นรัฐไม่มีมาตรการป้องกันเด็ดขาดใดๆ สำหรับคนที่เดินทางมาจากอิตาลีหรือประเทศกลุ่มเสี่ยง เราและสามีก็เลยหาทางรับมือกันเอง ด้วยการจัดแจงตารางตัวเองให้สามารถทำงานที่บ้านได้ไม่มีปัญหา สรุปก็คือบ้านเรากักกันตัวเองสองอาทิตย์ก่อนที่รัฐจะออกประกาศ คือไม่ออกจากบ้านเลย เด็กๆ ไม่ได้สัมผัสประตูหน้าบ้านเลยเป็นเวลาเดือนกว่าแล้ว

ตอนที่รัฐออกประกาศใหม่ๆ มีคนออกไปตุนของกันบ้าง ส่วนบ้านเราเปลี่ยนมาใช้การสั่งซื้อของกินของใช้ผ่านช่องทางออนไลน์แทน แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังเห็นการขาดตลาดของสินค้าบางอย่างเช่น ทิชชู่ ไข่ ยาพาราเซตามอล วิตามินซี และพวกอาหารที่เก็บไว้ได้นานๆ

ส่วนหน้ากากอนามัย เจลแอลกอฮอล์อะไรไม่ต้องพูดถึง ขาดตลาดมาตั้งแต่เดือนกุมภาฯ แล้ว

Q: รัฐช่วยเหลืออะไรบ้างไหม

การให้ความช่วยเหลือน่าจะเป็นในส่วนของเงินชดเชย ด้วยการจะชดเชยเงินให้บริษัท 90% ของรายจ่ายที่ต้องให้กับลูกจ้างในช่วงที่ต้องปิดตัวลงชั่วคราว และก็มีให้เงินชดเชยสำหรับผู้ประกอบธุรกิจของตนเอง

  ค่าเทอม ค่าเนอร์เซอรีต่างๆ รัฐก็จะชดเชยให้ผู้ปกครองเต็มจำนวน

Q: เด็กๆ ได้รับผลกระทบอย่างไรบ้าง

ตอนนี้โรงเรียนทุกระดับชั้นปิดหมดจนถึง 28 เมษาและมีแนวโน้มว่าจะปิดต่ออีก โรงเรียนชั้นประถมขึ้นไปมีการเรียนออนไลน์ (อันนี้ไม่มีประสบการณ์โดยตรง แต่คิดว่าพ่อแม่ก็คงต้องช่วย) ลูกเรายังอยู่แค่เตรียมอนุบาลซึ่งปกติก็ไปเล่น ไม่มีเรียนใดๆ ตอนนี้ก็อยู่บ้าน free play

Q: เด็กๆ ที่บ้านมีความเข้าใจในสถานการณ์ตอนนี้อย่างไรบ้าง

เราว่าโดยธรรมชาติเองเด็กก็เข้าใจได้ระดับนึง เวลาเราอธิบายเรื่องเชื้อโรคว่ามันไม่ดีต่อสุขภาพของเรา แต่จะให้เข้าใจถึงแก่นว่าเราต้องอยู่แต่ในบ้านเพื่อสังคมโดยรวมคิดว่าเป็นเรื่องยากเพราะเด็กๆ เติบโตจากการเอาตัวเขาเป็นจุดศูนย์กลางเสมอ ดังนั้นหากพ่อแม่ไม่มีข้อตกลงใดๆ แล้วหวังใจว่าลูกจะมีจิตสำนึกไม่ออกไปเล่นนอกบ้านเองคงจะเป็นไปได้ยาก

ส่วนบ้านเราก็เล่าให้ลูกฟังตั้งแต่โควิดยังไม่มาถึงยุโรป และเพราะคุยกับตายายที่เมืองไทยผ่านทางวิดีโอคอลอยู่เป็นประจำ ลูกเห็นตายายใส่หน้ากากอนามัยก็สงสัย เราเลยอธิบายไปตามเรื่องราว ตอนแรกลูกคนโตก็ยังดูไม่เข้าใจในเชิงลึก คือท่องๆ ไปว่าเมืองไทยมีไวรัสตายายเลยต้องใส่หน้ากากอนามัยไม่ให้ไวรัสเข้าจมูกเข้าปาก เดี๋ยวจะไม่สบาย

แต่พอโควิดเริ่มมายุโรปเราก็เลยซื้อหนังสือเด็กที่อธิบายเกี่ยวกับเชื้อโรค มีภาพประกอบต่างๆ ก็ดูเหมือนจะเข้าใจมากขึ้น

มีช่วงนึงที่เรากับสามีคุยกันแต่เรื่องนี้ ลูกก็ถามขึ้นมาว่า ไวรัสโคโรน่ามันเป็นยังไง เราก็เลยหาวิดีโอในยูทูบให้ลูกดู มีทั้งที่อธิบายถึงต้นตอจนถึงว่าทำไมเราถึงควรจะอยู่บ้านให้มากที่สุด เขาก็ดูเข้าใจลึกมากขึ้นไปอีก

Q: ในช่วงที่อยู่บ้านกับลูกแบบนี้ ในแต่ละวัน คุณแม่กับเด็กๆ ทำอะไรกันบ้าง  

ตามปกติบ้านเราจะฟรีเพลย์อยู่แล้ว คือเราเป็นแม่บ้านเลี้ยงลูกเต็มตัวเลยไม่ค่อยได้ปรับทัศนคติตัวเองมากเท่าไหร่ มีกฎแค่ว่ารับผิดชอบ กิน นอน ให้เป็นเวลาแค่นั้น ในส่วนของกิจกรรมที่ขาดหายไปเช่น ไปว่ายน้ำ ขี่จักรยาน ไปห้องสมุด ไปซูเปอร์มาร์เก็ตด้วยกัน เราก็ชดเชยด้วยการหากิจกรรมให้เขาทำในบ้าน ระบายสี เตะบอล ต่อบล็อกไม้ อ่านหนังสือ ชวนเล่นวนไป แม่ก็จะเหนื่อยขึ้นหน่อยเพราะจะต้องพยายามมากขึ้นในการหากิจกรรมที่ให้เค้าได้เผาผลาญพลังงานโดยที่อยู่แต่ในบ้าน

แต่เราก็พยายามโฟกัสว่าสิ่งที่เราทำอยู่ไม่ใช่เพื่อครอบครัวเราเท่านั้นแต่เพื่อทุกคนในสังคม พอคิดได้แบบนี้มันก็จะเกิดความภูมิใจเล็กๆ ว่าเราสามารถสละความสะดวกสบาย ความเห็นแก่ตัว มันก็มีกำลังใจจะอดทนต่อไป

ในส่วนของความรู้สึกของลูก เท่าที่ผ่านมายังไม่รู้สึกว่าเขาต้องทุกข์ทนอะไร ยังร่าเริงปกติดีอยู่ทั้งสองคน แต่ไม่รู้ว่าถ้านานกว่านี้เค้าจะเริ่มรู้สึกหรือเปล่า จากนี้ก็พยายามอยู่ด้วยความหวัง ทำหน้าที่ของแต่ละคนให้ดีที่สุดวันต่อวัน


Nidnok

‘นิดนก’ เป็นคุณแม่ของน้อง ณนญ / เป็นนักเขียนสาวเชิงรุก เจ้าของผลงานหนังสือ 'POWER BRIDE เจ้าสาวที่กลัวสวย' และ 'TO BE CONTINUE- โปรดติดตามตอนแต่งไป'

RELATED POST

COMMENTS ARE OFF THIS POST