ชาวบ้านโป่งแดง ต.ทุ่งหัวช้าง จ.ลำพูน แจ้งกับผู้สื่อข่าวว่ามีครอบครัวเด็กป่วยจากโรคกระดูกมานาน ต้องใช้ไม้ค้ำยันตลอดระยะเวลารวมประมาณ 5 เดือน รักษาอย่างไรก็ไม่หาย วันนี้อาการหนักมาก จากรักษาในหมู่บ้าน ครอบครัวต้องนำตัวส่งรักษาที่โรงพยาบาลจังหวัดลำพูนอย่างเร่งด่วน

เมื่อผู้สื่อข่าวได้ลงพื้นที่พบผู้เป็นพ่อ ได้นำลูกชายอายุ 12 ปี มารักษาที่ห้องรวม โรคกระดูกชั้น 1 โรงพยาบาลลำพูน บอกว่า ก่อนหน้านั้นเรียนอยู่ป. 6 ได้รับบาดเจ็บจากกระดูกแตกร้าวและอักเสบที่ขาซ้าย เนื่องจากถูกคุณครูทำโทษ เมื่อวันที่ 9 ก.พ. 2566 เพราะลืมเอาหน้ากากอนามัยมาโรงเรียนถูกลงโทษให้ลุกนั่ง 50 ครั้ง และช่วงบ่ายเข้าเรียนช้าไป 20 นาที ครูลงโทษเด็กผู้ชายชั้น ป.6 ทั้งห้องให้ลุกนั่ง 100 ครั้งทำให้วันนั้นตนถูกทำโทษลุกนั่งรวมทั้งหมด 150 ครั้ง

เมื่อน้องกลับบ้านก็รู้ตัวว่าเจ็บขามากและเพื่อนคนอื่นๆ ก็ปวดขาเช่นกัน แต่วันแรกเขาไม่กล้าบอกพ่อ เพราะกลัวคุณครู และกลัวที่จะไปหาหมอ วันต่อมาก็ไม่สามารถไปโรงเรียนได้เพราะอาการหนักมาก เดินไม่ได้ พ่อก็พาเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลทุ่งหัวช้างตั้งแต่วันที่ 11 ก.พ. 2566 เป็นต้นมา และได้ลาโรงเรียน ไม่ได้เรียนหนังสือตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมาจนถึงปัจจุบัน

ผู้เป็นพ่อ กล่าวอีกว่า ต่อจากนั้นลูกได้รักษาตัวที่บ้านสลับกับรักษาที่โรงพยาบาลตลอดมา ทางครอบครัวก็แจ้งให้คุณครูที่ลงโทษลูกทราบ ตอนนั้นลูกยังเรียนไม่จบ อยู่ป.6 ตนได้พูดคุยกับครูและทางโรงเรียนก็ได้มอบเงินมาส่วนหนึ่ง จำนวน 10,000 บาท สำนักงานเขตการศึกษาฯ ก็นำเงินมามอบให้อีก 3,000 บาท จากนั้นก็ไม่ได้รับเงินช่วยเหลืออีกเลย

“อาการลูกหนักขึ้นทุกวัน วันนี้ได้นำลูกเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลทุ่งหัวช้าง ทางคุณหมอเห็นว่าอาการหนัก และรักษาตัวมาระยะเวลานานแล้วแต่ไม่ดีขึ้นเลย จึงส่งตัวมารับการรักษาที่โรงพยาบาลจังหวัดลำพูน และผลการตรวจกระดูกก็พบว่ากระดูกร้าวและอักเสบ แผลติดเชื้อเพิ่มอีก น้องตุ้ยต้องนอนโรงพยาบาลรอดูอาการว่าจะต้องผ่าตัดหรือไม่”

คุณพ่อของด็กชายคนนี้กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า ตอนนี้ตนลำบากมาก เพราะไม่มีรายได้ ต้องเฝ้าลูกตลอด ล่าสุดประสานไปที่โรงเรียนถึงอาการของลูกก็ได้รับคำตอบมาว่าวันนี้น้องตุ้ยไม่ได้อยู่ภายใต้การดูแลของโรงเรียนแล้ว จึงอยากฝากหน่วยงานที่รับผิดชอบช่วยเหลือครอบครัวด้วย เพราะหมดเงินรักษาไปประมาณเดือนละหนึ่งหมื่นบาท ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์มาถึงเดือนนี้รวมประมาณ 5 เดือนได้หมดเงินไปประมาณ 50,000 บาทแล้ว

อ้างอิง
mgronline